วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การสัมมนาเพื่อสำรวจและรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับภารกิจภาครัฐที่สามารถถ่ายโอนให้ภาคประชาสังคม/ชุมชนเข้ามามีบทบาทร่วมดำเนินการหรือดำเนินการแทนภาครัฐในการจัดบริการสาธารณะ

โครงการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ชาวกรมบัญชีกลาง (CoP : Community of Practice)
กิจกรรมที่ 3 : เล่าเรื่องเร้าพลังชาวกรมบัญชีกลาง (Storytelling) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556

ผู้เล่าเรื่อง  :  นายนัทพล บุญบรรเทิงวัฒน์
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
หน่วยงาน : กลุ่มงานประเมินผล กองแผนงาน

การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ : หลักการและแนวทางการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการจัดบริการสาธารณะ สภาพความจำเป็นและความเป็นไปได้
การสัมมนาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการจัดทำ “โครงการศึกษาข้อเสนอการถ่ายโอนภารกิจ การจัดบริการสาธารณะให้ภาคประชาสังคม/ชุมชน” โดยการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวคือการเปิดโอกาสให้ภาคส่วนอื่นเข้ามาดำเนินการจัดบริการสาธารณะร่วมกับ/ดำเนินการแทนภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ (พ.ศ. 2551 – พ.ศ. 2555) ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 คือการปรับรูปแบบการทำงาน ให้มีลักษณะเชิงบูรณาการ เกิดการแสวงหาความร่วมมือและสร้างเครือข่ายกับฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
ประเด็นการสัมมนาประกอบด้วยสาเหตุที่ต้องมีการส่งเสริมภาคประชาชนเข้ามา ภารกิจที่เหมาะสมให้ภาคประชาชนเข้ามาทำ สามารถทำได้ทันที และข้อพึงระมัดระวังในการให้ภาคประชาชนเข้ามา  มีรายละเอียดดังนี้
1. สาเหตุที่ต้องมีการส่งเสริมภาคประชาชนเข้ามา
รัฐสมัยใหม่จะมีบริการสาธารณะที่เพิ่มขึ้นมาก เช่น ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ และภารกิจมี    ความหลากหลาย ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องยากที่หน่วยงานราชการจะสามารถจัดทำได้ทั้งหมด จึงมีการตั้งรัฐวิสาหกิจ และมีการกำหนดให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบเป็นหน่วยงานมหาชน เพื่อความคล่องตัว นอกจากนี้ บริการสาธารณะอาจต้องพิจารณาความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ภาครัฐจะจัดบริการสาธารณะที่ตอบสนองต่อประชาชนในทุกพื้นที่ได้ องค์กรภาคประชาชนหรือภาคประชาสังคมจะเป็นส่วนที่ช่วยสนับสนุน การจัดบริการสาธารณะให้ครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของประชาชนที่มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้น เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนมีจิตสำนึก มีส่วนร่วมกับการพัฒนาสังคมได้มากขึ้น และภาครัฐสามารถอาศัยทักษะความรู้ของภาคประชาสังคมมาช่วยพัฒนาบริการสาธารณะต่อไปได้
2. ภารกิจที่เหมาะสมให้ภาคประชาชนเข้ามาทำ สามารถทำได้ทันที
ภาคประชาสังคมสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มภาคประชาสังคมที่ปฏิเสธ กดดันภาครัฐโดยตรง ไม่พร้อมมีส่วนร่วมกับภาครัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีประโยชน์ด้านการตรวจสอบภาครัฐ และกลุ่มภาคประชาสังคมที่ดำเนินการควบคู่กับภาครัฐอยู่แล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มที่สามารถรับภารกิจบริการสาธารณะได้ ตัวอย่างของกลุ่มภาคประชาสังคมที่ดำเนินการควบคู่กับภาครัฐ ได้แก่ องค์กรจัดสวัสดิการและบรรเทาทุกข์ เช่น มูลนิธิ  สาธารณกุศล ธนาคารขยะ สมาคมวิชาชีพ ศูนย์ดูแลคนชรา บ้านเด็กกำพร้า กิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) โดยในอนาคตอาจให้กลุ่มภาคประชาสังคมเหล่านี้รับภารกิจในการจัดบริการสาธารณะโดยภาครัฐจะมีบทบาทเป็นผู้สนับสนุนหรือประสานงานร่วมกัน 
3. ข้อพึงระมัดระวังในการให้ภาคประชาชนเข้ามา
การให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดบริการสาธารณะมีข้อพึงระวังคือบริการสาธารณะเมื่อให้ภาคประชาสังคมทำจะต้องมีประสิทธิภาพสูงกว่ากรณีที่ภาครัฐทำ และแนวความร่วมมือควรเป็นไปในทางร่วมดำเนินการหรือดำเนินการแทนมากกว่าการที่ภาครัฐวางแผนการทำงานแล้วให้ภาคประชาชนมาปฏิบัติงานเพียงอย่างเดียว การถ่ายโอนภารกิจไม่ได้เป็นการยกงานให้ภาคประชาสังคมทำแทนทั้งหมดและไม่ทำให้งานของภาครัฐลดลง แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นการประสานงานทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม
การสัมมนาดังกล่าวได้มีข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วม ข้อเสนอแนะที่สำคัญ ได้แก่ การกำหนดให้มีหน่วยงานกลางตรวจสอบภาคประชาสังคมที่จัดทำบริการสาธารณะเพื่อให้บริการสาธารณะมีประสิทธิภาพและป้องกันการหาผลประโยชน์จากการเข้ามาดำเนินการ การพิจารณาข้อกฎหมายให้เหมาะสมกับแนวทางการถ่ายโอนภารกิจ การให้องค์ความรู้แก่ภาคประชาสังคม รวมถึงข้อกังวลเรื่องเป้าหมายของกลุ่มประชาสังคมที่อาจเปลี่ยนแปลงในทางลบเมื่อภาครัฐมีส่วนเกี่ยวข้อง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น