2. นายวรสิทธิ์ ประจันพล นักวิชาการคลังชำนาญการ
3. นางสาวจิตติสุดา สายมาลา นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วยงาน : สำนักการเงินการคลัง
หลักสูตรฝึกอบรม : โครงการเสวนาทางวิชาการเรื่อง ทิศทางของเศรษฐกิจไทย
ในปี 2557 และการลงทุนใน ASEAN
หน่วยงานผู้จัด : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
1) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการทำประโยชน์ให้แก่สังคม
2) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของภาคธุรกิจเอกชนให้สามารถเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
3) เพื่อเผยแพร่ ข้อมูล ความรู้ แนวทางปฏิบัติ ด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ตลอดจนประเด็นต่างๆ ที่สะท้อนสภาวะทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนแก่สมาชิกสมาคมสโมสรนักลงทุน นักธุรกิจ นักลงทุน และผู้สนใจทั่วไป
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ :
การเสวนาทางวิชาการเรื่อง ทิศทางของเศรษฐกิจไทยในปี 2557 และการลงทุนใน ASEAN มีผู้เข้าร่วมเสวนา 3 ท่าน ได้แก่
1) นางหิรัญญา สุจินัย ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
2) ดร. สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
3) นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน)
โดยมีหัวข้อในการเสวนา ดังนี้
1) สถานการณ์เศรษฐกิจการค้าและการลงทุนของไทย
-สถานการณ์เศรษฐกิจโลก
ภายหลังประเทศสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ (Subprime mortgage crisis) หรือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ในช่วงปี 2550 ต่อเนื่องถึงปี 2551 ทำให้รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาต้องดำเนินมาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณ หรือ Q.E. (Quantitative Easing) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ โดยปัจจุบันสหรัฐอเมริกาได้ดำเนินมาตรการ Q.E. 3 และลดอัตราการซื้อพันธบัตรลง เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เงินทุนไหลออกออกจากประเทศไทย และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซียชลอตัวลง โดยเฉพาะประเทศจีน ประกอบกับผู้นำคนใหม่ของประเทศจีนมีนโยบายที่เน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ไม่เน้นตัวเลขอัตราการเติบโต 2 หลักอย่างที่ผ่านมา รวมถึงการหาตลาดส่งออกใหม่
-สถานการณ์เศรษฐกิจไทย
-ภาคเกษตร แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการบริโภค (demand) ของประเทศจีนลดลง ประกอบกับวงจรราคาสินค้าเกษตรที่ผ่านมาอยู่ในช่วงขาขึ้นนานกว่าปกติ ส่งผลให้ช่วงขาลงจะลงอย่างรวดเร็ว
-ภาคอุตสาหกรรม แนวโน้มราคาน้ำมันโลกลดลง ราคาปรับตัวไม่เกิน 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
-การบริโภคในประเทศ มีอัตราการขยายตัวต่ำ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาภาระหนี้สินครัวเรือน ความต้องการบริโภคสินค้าคงทนลดลง ได้แก่ รถยนต์
-ภาคธนาคาร แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อลดลง และเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
-ภาคอสังหาริมทรัพย์ แนวโน้มการเติบโตชลอตัวลงเนื่องจากความเข้มงวดในการให้สินเชื่อมากขึ้น
-การลงทุน
จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า แนวโน้มมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมในช่วงปี พ.ศ. 2553 มีแนวโน้มสูงขึ้น และสูงที่สุดในปี พ.ศ. 2555 ที่ระดับ 1,182 พันล้านบาท ก่อนลดลงเหลือ 1,110 พันล้านบาท ในปี 2556 หรือคิดเป็นร้อยละ 6 โดยหมวดบริการและสาธารณูปโภคมีมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมสูงสุด 523 พันล้านบาท รองลงมาได้แก่ หมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง (ได้แก่ Eco Car) 254 พันล้านบาท โดยหมวดอุตสาหกรรมเบามีมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมต่ำสุด 16 พันล้านบาท
โดยประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าการลงทุนสูงเป็นอันดับ 1 จำนวน 283 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 54 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด (FDI: Foreign Direct Investment) จำนวน 525 พันล้านบาท รองลงมาได้แก่ หมู่เกาะเคย์แมน (Cayman Island) มีมูลค่าการลงทุน 49 พันล้านบาท (เนื่องจากมีโครงการขนาดใหญ่จากสหรัฐอเมริกาและไต้หวันลงทุนผ่านหมู่เกาะเคย์แมน) ประเทศจีน 43 พันล้านบาท ประเทศมาเลเซีย 29 พันล้านบาท ประเทศสิงคโปร์ 23 พันล้านบาท และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง 20 พันล้านบาท
2. ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในปี 2557
- ปัจจัยเฉพาะปี 2557
ปัจจัยบวก
|
ปัจจัยลบ
|
-
การลงทุนจากญี่ปุ่นยังมีอย่างต่อเนื่อง
-
อุตสาหกรรมหลักยังมีการลงทุนสูง เช่น ยานยนต์ รวมทั้ง Eco
Car รุ่น 2 ประหยัดพลังงานทดแทน
ขนส่งทางอากาศ แปรรูปเกษตร
-
เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว การส่งออกดีขึ้น
-
โครงการ Mega Projects ของรัฐบาล
(หากมีการลงทุนเกิดขึ้น)
-
อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ
-
มาตรการส่งเสริมการลงทุนที่สำคัญจะสิ้นสุดปี 2557 (มาตรการ SMEs และมาตรการให้สิทธิพิเศษในนิคมฯ เขต
2 แหลมฉบัง และระยอง
|
-
วิกฤติการเมืองส่งผลกระทบดังนี้
- ความไม่ชัดเจของการปรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่
- ความล่าช้าของ
Mega Projects ทั้งโครงการ 2 ล้านล้านบาท
และ 3.5 แสนล้านบาท
- รัฐไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่
- ผู้บริโภคในประเทศและนักท่องเที่ยว ขาดความเชื่อมั่น
-
ตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลกยังไม่ฟื้นตัวดีนัก
-
ความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ
|
- ปัจจัยพื้นฐาน
ปัจจัยบวก
|
ปัจจัยลบ
|
-
การลงทุนเพื่อรองรับการรวมกลุ่ม AEC (+3 และ +6)
-
ความพร้อมของอุตสาหกรรมสนับสนุนสำหรับอุตสาหกรรมหลัก เช่น ยานยนต์
อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ปิโตรเลียม
-
ศักยภาพของไทยด้านการเกษตรและธุรกิจบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว
บันเทิง การแพทย์และสุขภาพ
-
นโยบายรัฐที่เปิดเสรีและเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ
-
อัตราภาษีเงินได้ที่ลดลงต่ำมาก
-
Urbanization ช่วยเพิ่มอำนาจซื้อของชนชั้นกลาง และขยายโอกาสทางธุรกิจ
|
-
ปัญหาขีดความสามารถในการแข่งขันต่ำ โดยเฉพาะด้านการศึกษา และ S&T
-
ขาดแคลนแรงงาน ปัญหาสหภาพแรงงาน และต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มสูงขึ้น
-
การต่อต้านของมวลชน และขาดพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมหนัก
-
ขาดความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว และต้นทุนพลังงานสูงขึ้น
-
ขาดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมานาน โดยเฉพาะขนส่งทางราง
การขยายสนามบิน และท่าเรือ
เขื่อนและระบบชลประทาน
-
ความเสี่ยงต่ออุทกภัยในพื้นที่อุตสาหกรรม
|
นอกจากนี้ รัฐบาลควรส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในด้านการบริหารจัดการและนวัตกรรม เน้นการใช้เทคโนโลยีในการบริหาร รวมถึงการหาตลาดภายนอกประเทศด้วย
3. ผลกระทบต่อการลงทุนของประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
- การชักจูงการลงทุนจากต่างชาติ
จุดแข็ง
|
จุดอ่อน
|
-
ที่ตั้งของประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค
-
ระบบคมนาคมและสาธารณูปโภคอยู่ในระดับที่ดี
เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม
-
ฐานการผลิตของอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์ ปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์
เป็นต้น
-
ความโดดเด่นของธุรกิจบริการ เช่น ท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ
เป็นต้น
-
ทักษะฝีมือของแรงงานไทยอยู่ในระดับที่ดี
-
ขนาดของตลาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค
เป็นรองเพียงแค่อินโดนีเซีย
-
ระบบสถาบันการเงินที่มั่นคงและมีความเข้มแข็ง
-
ค่าครองชีพต่ำ สภาพแวดล้อมน่าอยู่อาศัย
|
-
ความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศ ของคนไทย
-
ต้นทุนในการทำธุรกิจที่สูง เช่น ค่าจ้างแรงงาน
ค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เป็นต้น
-
การขาดเสถียรภาพทางการเมืองและปัญหาคอรัปชั่น
-
ผลิตภาพ (Productivity) และการวิจัย และพัฒนาอยู่ในระดับที่ต่ำ
-
ขาดแคลนแรงงานและปัญหาเรื่อง Aging Society
-
ปัญหาการละเมิดสิขสิทธิ์
|
จุดแข็ง
|
จุดอ่อน
|
-
ความรู้และเทคโนโลยีในหลายอุตสาหกรรม มีความก้าวหน้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน
-
การเชื่อมโยง Supply Chain กับอุตสาหกรรม ในประเทศ
|
-
ทักษะด้านภาษาของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs
-
ขาดความรู้ ความเข้าใจ และข้อมูลที่จำเป็น ในการทำธุรกิจในกลุ่ม AEC
-
ขาดแคลนแหล่งเงินทุน
-
ความสนใจของผู้ประกอบการไทยยังต่ำ
- การสนับสนุนจากภาครัฐยังไม่เพียงพอ เช่น การเก็บภาษีซ้ำซ้อน
การอำนวยความสะดวกและให้ข้อมูลแก่เอกชนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนใน AEC
เป็นต้น
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น