วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

หลักสูตรนักทรัพยากรบุคคลมืออาชีพ

ผู้เล่าเรื่อง  :  
นางสาวพลอยวรัตม์  อินทชื่น  
ตำแหน่ง นักทรัพยากรบุคคลปฏิบัติการ
นางสาวอริณรภัสฌา  ขันธอุดม  
ตำแหน่ง นักทรัพยากรบุคคลปฏิบัติการ
หน่วยงาน :  กองการเจ้าหน้าที่
ชื่อโครงการ / ประชุม / สัมมนา / หลักสูตร  :  หลักสูตรนักทรัพยากรบุคคลมืออาชีพ หมวดวิชาความรู้พื้นฐานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล
หน่วยงานผู้จัด  :  สำนักงาน ก.พ.

วัตถุประสงค์ของโครงการ / ประชุม / สัมมนา / หลักสูตร  
1) เพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะ และสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของนักทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เพื่อเป็นพื้นฐานของการทำงานในระดับมืออาชีพต่อไป
2) เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแผนการพัฒนาความก้าวหน้าในอาชีพให้กับนักทรัพยากรบุคคล

ความรู้ที่แบ่งปันในเรื่อง : ความรู้พื้นฐานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล
หลักการบริหารทรัพยากรบุคคลตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
1. หลักคุณธรรม (Merit) ประกอบด้วย
       1.1 ความเสมอภาคในโอกาส
       1.2 ความรู้ความสามารถ
       1.3 ความมั่นคง
       1.4 ความเป็นกลางทางการเมือง
2. หลักสมรรถนะ (Competency)
3. หลักผลงาน (Performance)
4. คุณภาพชีวิตการทำงาน (Quality of worklife)
หลักการกำหนดตำแหน่งตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
1. เป้าหมายขององค์การ จากการตอบคำถามเชิงนโยบาย ทิศทางขององค์การ แผนงาน
2. จัดโครงสร้างองค์การ โดยจะแบ่งงานออกเป็นกี่ฝ่ายที่สำคัญ
3. ออกแบบงาน ซึ่งแต่ละฝ่ายจะมีกี่แผนก แต่ละแผนกจะมีงานอะไรบ้าง
4. วิเคราะห์งาน ดูรายละเอียดเกี่ยวกับงานและต้องไตร่ตรองงานอย่างรอบคอบ แล้วนำไปกำหนดตำแหน่ง
5. ทบทวนการออกแบบงาน
6. กิจกรรมต่างๆ ในงาน เป็นการกำหนดรายละเอียด ขั้นตอนของงาน
โดยองค์ประกอบของตำแหน่งประกอบด้วย
   1. ความรู้ ความสามารถ (Knowledge & Ability)
   2. ความยุ่งยากและความรับผิดชอบของงาน (Difficulty & Complexity)
   3. หน้าที่ความรับผิดชอบ (Duty & Responsibilty)
หลักการสรรหาและเลือกสรรข้าราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
1. ความรู้ ความสามารถ
2. ความเสมอภาค ความเป็นธรรม ประโยชน์ของทางราชการ
3. พฤติกรรมทางจริยธรรม
4. ระบบคุณธรรม
การสรรหา หมายความว่า การเสาะแสวงหาบุคคลที่พร้อมและสามารถจะทำงานได้เข้ามาสมัครเข้าทำงานตามที่  ส่วนราชการกำหนด
การเลือกสรร หมายความว่า การพิจารณาบุคคลที่ส่วนราชการได้ทำการสรรหามาทั้งหมด และทำการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานและส่วนราชการมากที่สุดไว้
โดยกระบวนการสรรหาและเลือกสรรบุคคล มีขั้นตอนดังนี้
1. การวางแผนการสรรหาและเลือกสรร
       1.1 เตรียมการในกิจกรรมต่างๆ ของการจัดหาบุคคลที่เหมาะสมเพื่อเข้าปฏิบัติงานในตำแหน่งต่างๆ
       1.2 จัดทำแผนปฏิบัติงาน
       1.3 ซึ่งการวางแผนที่ดีต้องอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับภาระหน้าที่ นโยบายและเป้าหมายของหน่วยงาน กำลังคนของหน่วยงานในปัจจุบันและสภาพการณ์ของตลาดแรงงาน ตลอดจนต้องครอบคลุมการดำเนินงานในทุกกิจกรรมของการสรรและเลือกสรร
2. การกำหนดคุณลักษณะของบุคคลที่ต้องการ
       2.1 การวิเคราะห์งานจากข้อมูลเกี่ยวกับงาน (หน้าที่ ภารกิจ ขั้นตอนการทำงาน)
       2.2 คุณสมบัติที่จำเป็น “KSAOs” เกี่ยวกับความรู้ ทักษะ ความสามารถ คุณลักษณะอื่นๆ
       2.3 เครื่องมือในการสรรหาและเลือกสรร เช่น การมาสมัครด้วยตนเอง การประกาศผ่านสื่อ เป็นต้น
3. การสรรหา “เน้นให้มีผู้มีคุณสมบัติตามประกาศรับสมัครมาสมัครให้มากที่สุด” โดยเลือกสื่อที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้มีคุณสมบัติที่ส่วนราชการต้องการ หรือแพร่ข่าวโดยให้ข้อมูลตามความจำเป็นของตำแหน่ง
4. การเลือกสรร
       4.1 พิจารณาความแตกต่างระหว่างบุคคลซึ่งสามารถทดสอบ/วัดได้
          โดยมีข้อสมมติฐาน คือ ผู้ที่ได้รับการเลือกสรรจะปฏิบัติงานได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกสรร”
       4.2 และการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการสรรหาและเลือกสรรบุคคล
5. การติดตามประเมินผล ได้แก่
       5.1 การประเมินผลกระบวนการสรรหาและเลือกสรร จากรายงานผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ
       5.2 การตรวจสอบคุณภาพ/ความสำเร็จของการสรรหาและเลือกสรร จากความเที่ยงตรง เป็นต้น
หลักการสรรหาและเลือกสรรพนักงานราชการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพนักงานราชการ พ.ศ. 2547 โดยมีปรัชญาของระบบพนักงานราชการ ดังนี้
1. ทางเลือกของการจ้างงานภาครัฐ
2. จ้างบุคลากรตามหลักสมรรถนะและหลักผลสัมฤทธิ์ของงาน
3. การเข้า – ออกตามสัญญาจ้าง
4. ไม่ใช่การจ้างงานตลอดชีพ มีระยะเวลาสิ้นสุดตามนโยบาย แผนงาน หรือโครงการ
5. มอบอำนาจให้ส่วนราชการดำเนินการบริหารจัดการเอง
การบรรจุ หมายความว่า การรับบุคคลที่ไม่ได้เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญด้วยวิธีการสอบแข่งขันหรือคัดเลือก โดยเป็นการทำให้มีสถานภาพเป็นข้าราชการพลเรือนตามกฎหมายว่าด้วยข้าราชการพลเรือน
การแต่งตั้ง หมายความว่า เป็นการสั่งให้ข้าราชการมีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบงานในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง และมีสิทธิที่จะได้รับเงินเดือนตามตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง
โดยหัวใจของการบรรจุแต่งตั้ง มี 5 ประการ ดังนี้
1. ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง ตามมาตรา 57
2. มีตำแหน่งในระดับที่จะแต่งตั้ง
3. คุณสมบัติ ประกอบด้วย
   3.1 คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 36
   3.2 มาตรฐานกำหนดตำแหน่ง (Spec) ตามมาตรา 63
   3.3 อื่นๆ (ถ้ามี)
4. ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
5. การออกคำสั่งแต่งตั้งตามแต่กรณี
การย้าย หมายความว่า การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งอื่นในกรมเดียวกัน ซึ่งจะเป็นตำแหน่งประเภทเดียวกันหรือต่างประเภทกันก็ได้
การโอน หมายความว่า การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งในกระทรวงหรือกรมหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งในกระทรวงหรือกรมอื่น ซึ่งจะเป็นตำแหน่งประเภทเดียวกันหรือต่างประเภทกันก็ได้
การเลื่อนระดับ หมายความว่า การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทเดียวกันในระดับที่สูงกว่าเดิม
การบริหารผลการปฏิบัติราชการ หมายความว่า เครื่องมือทางการบริหารที่จะสร้างความเชื่อมโยงและความชัดเจนให้กับเป้าหมายการปฏิบัติงานของทุกระดับในองค์กร เพื่อให้คนทั้งองค์กรปฏิบัติงานมุ่งไปในทิศทางเดียวกันเพื่อผลักดันให้ผลการปฏิบัติราชการขององค์กรบรรลุเป้าหมาย
วัตถุประสงค์ของการบริหารผลการปฏิบัติราชการ
1. เพื่อเป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหารในการกำกับติดตามเพื่อให้ส่วนราชการและจังหวัดสามารถบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ และวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และคุ้มค่า
2. เพื่อให้ผู้บังคับบัญชานำผลการประเมินการปฏิบัติราชการไปใช้ประกอบการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน และการให้เงินรางวัลประจำปีแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญตามหลักการของระบบคุณธรรม
หลักการของระบบบริหารผลการปฏิบัติราชการ
1. ยืดหยุ่นในการเลือกวิธีการ ประกอบด้วย น้ำหนักองค์ประกอบ ระดับผลการประเมิน และแบบประเมิน
2. โปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ ประกอบด้วย การประกาศหลักเกณฑ์การประเมิน คณะกรรมการกลั่นกรองผลการประเมิน และการประกาศรายชื่อผู้ได้ดีเด่น ดีมาก
โดยมีกระบวนการบริหารผลงาน
1. การวางแผนการปฏิบัติงาน เป็นกระบวนการสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับผู้บังคับบัญชาในเรื่องการกำหนดความคาดหวังที่ชัดเจน ผลสำเร็จของงานที่ต้องการและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ
2. การติดตามผลการปฏิบัติงาน เป็นการให้ข้อมูลป้อนกลับถึงผลการดำเนินงานของผู้ปฏิบัติงานเพื่อชี้แจงให้ผู้ปฏิบัติงานรับรู้ถึงความก้าวหน้าของการดำเนินงานที่ทำได้จริง โดยเปรียบเทียบกับมาตรฐานความสำเร็จของงานที่คาดหวังไว้ในขั้นตอนการวางแผนเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาผลงานและพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงาน
3. การพัฒนาผลการปฏิบัติงาน เป็นขั้นตอนของการพัฒนาผลการดำเนินงานของผู้ปฏิบัติงานเพื่อให้ผลงานที่เกิดขึ้นจริงเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดขึ้นในช่วงต้นรอบการประเมิน ซึ่งผู้บังคับบัญชาจะต้องทำหน้าที่ในการคิดหาเครื่องมือการพัฒนาความสามารถของผู้ปฏิบัติงานเพื่อให้เป้าหมายหรือตัวชี้วัด (KPIs) บรรลุผลสำเร็จ
4. การประเมินผลการปฏิบัติงาน เป็นการสรุปผลการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานทุกคนที่ปฏิบัติได้จริงว่าใครมีผลงานดีมาก ดีน้อย แตกต่างกันอย่างไร โดยประเมินผลสัมฤทธิ์ของงานและพฤติกรรมการปฏิบัติราชการของผู้ปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นตลอดรอบการประเมินเปรียบเทียบกับมาตรฐานผลงานและเป้าหมายผลสำเร็จของงานตามแผนการปฏิบัติงานที่ได้กำหนดไว้เมื่อต้นรอบการประเมิน
5. การให้รางวัล เป็นการให้สิ่งตอบแทนแก่ผู้ปฏิบัติงานที่มีความมุ่งมั่น ความทุ่มเทในการทำงานและมีพฤติกรรมที่ดี ทำให้มีผลงานดีเด่นเกิดขึ้นในหน่วยงาน องค์กรบรรลุผลตามเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่กำหนด
ค่าตอบแทน หมายความว่า สิ่งที่องค์การให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในฐานะที่ปฏิบัติงานและเป็นสมาชิกขององค์การ หมายรวมถึงค่าตอบแทนทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน เพื่อตอบแทนการปฏิบัติงานตามหน้าที่เป็นรางวัลเพื่อจูงใจในการทำงาน ส่งเสริมขวัญกำลังใจและเสริมสร้างฐานะความเป็นอยู่ของผู้ปฏิบัติงานให้ดีขึ้น โดยหลักในการกำหนดค่าตอบแทนมีดังนี้
1. หลักความพอเพียง (Adequacy)
2. หลักความเป็นธรรม (Equity)
3. หลักความสมดุล (Balance)
4. หลักความมั่นคง (Security)
5. หลักการจูงใจ (Incentive)
6. หลักการควบคุม (Control)
ซึ่งค่าตอบแทนมี 4 ประเภท คือ เงินเดือน  เงินประจำตำแหน่ง/เงินเพิ่ม  เงินรางวัล  สวัสดิการ/ประโยชน์เกื้อกูล
การพัฒนาทรัพยากรบุคคล หมายความว่า การพัฒนาและปลดปล่อยความเชี่ยวชาญ/ความสามารถของคนในองค์กรผ่านกระบวนการพัฒนาและฝึกอบรมและการพัฒนาองค์กรเพื่อปรับปรุงผลงานขององค์กรในภาพรวม ซึ่งในกระบวนการพัฒนา มีดังนี้
1. เป้าหมายการพัฒนา
2. วิเคราะห์ความต้องการขององค์กร กลุ่ม พนักงานรายบุคคล การทำงาน โดยการสำรวจ การสังเกตการณ์ เป็นต้น
3. ออกแบบการพัฒนา โดยเลือกวิธีการพัฒนาของการเรียนรู้ เช่น การสอนงาน (Coaching) การหมุนเวียนงาน (Rotation Practice) การมอบหมายงาน (Job Assignment) เป็นต้น
4. ดำเนินการพัฒนา
5. ประเมินผลการพัฒนา จากแนวคิดการประเมินผลการพัฒนา Kirkpatrick’s model + ROI ดังนี้
   5.1 Reaction and Planned Action : ผู้เข้าอบรมมีปฏิกิริยาอย่างไร
   5.2 Learning : ผู้เข้าอบรมมีการเปลี่ยนแปลงอะไร
   5.3 Behavior : ผู้เข้าอบรมมีพฤติกรรมการทำงานเปลี่ยนอย่างไร
   5.4 Results : การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในองค์กรอันเกิดจากการพัฒนาคืออะไร
   5.5 ROI : ความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงในระดับองค์กร

การใช้ระบบสารสนเทศในการรายงานผลการเบิกจ่ายและผลการดำเนินงานโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ 3 เดือนแรก

ผู้เล่าเรื่อง  :  นายพงศธร  ณ นคร
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังชำนาญการพิเศษ
ผู้เล่าเรื่อง  :  นายสุจิตร  ชุมชัย
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
หน่วยงาน :  สำนักกำกับและพัฒนาระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์
ชื่อโครงการ / ประชุม / สัมมนา / หลักสูตร  :  การใช้ระบบสารสนเทศในการรายงานผลการเบิกจ่ายและผลการดำเนินงานโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ 3 เดือนแรก
หน่วยงานผู้จัด  :  สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
วัตถุประสงค์ของโครงการ / ประชุม / สัมมนา / หลักสูตร  
เพื่อให้เจ้าของโครงการตามมาตรการฯ มีความเข้าใจการใช้งานระบบและวิธีการรายงานผลการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินผ่านระบบสารสนเทศได้
ความรู้ที่แบ่งปันในเรื่อง : การใช้ระบบสารสนเทศในการรายงานผลการเบิกจ่ายและผลการดำเนินงานโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ 3 เดือนแรก
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2557 เห็นชอบโครงการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ 
3 เดือนแรก วงเงิน 23,000 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินเหลือจ่ายโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จำนวน 15,200 ล้านบาท และเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีรายการงบกลางกรณีฉุกเฉินและจำเป็น จำนวน 7,800 ล้านบาท  โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณรายงานความก้าวหน้าโครงการดังกล่าว ซึ่งแนวทางการติดตาม การประเมินผล และรายงานผลการดำเนินโครงการดังกล่าวได้มีการจัดทำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อติดตาม และรายงานความก้าวหน้าของโครงการให้รัฐมนตรีทราบเป็นรายเดือน โดยเริ่มรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการดังกล่าวผ่านระบบสารสนเทศต่อคณะรัฐมนตรีในเดือนมกราคม 2558 
การใช้ระบบสารสนเทศในการรายงานผลการเบิกจ่ายและผลการดำเนินงานโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ 3 เดือนแรก โดยมีเนื้อหาประกอบด้วย 3 ส่วน
1) การบันทึกข้อมูล (Web-From และ e-From) ผ่านระบบ GFMIS Web Online 
2) ระบบติดตามความก้าวหน้าโครงการโดยผ่าน www.tyy2558.com 
3) ระบบรายงานความก้าวหน้าสำหรับผู้บริหาร (EIS Dashboard)
1. การบันทึกข้อมูล (Web-From และ e-From) ผ่านระบบ GFMIS Web Online
1.1 การบันทึกข้อมูล Web-From
การบันทึกข้อมูล Web-From นั้น จะต้อง Login เข้าสู่ระบบงาน GFMIS Web Online ซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบได้ 3 ช่องทาง ดังนี้
(1)ทาง Web online GFMIS Net work ผ่านเครื่อง Terminal GFMIS เข้าผ่าน URL http://webonline  โดยใช้ User ID : XXXXXXXXXX10 (XXXXXXXXXX = รหัสหน่วยเบิกจ่าย, 10 = ผู้บันทึก)
(2)ทาง Web online Intranet เข้าผ่าน URL https://webonlineintra.gfmis.go.th  โดยใช้ User ID : XXXXXXXXXX10 (XXXXXXXXXX = รหัสหน่วยเบิกจ่าย, 10 = ผู้บันทึก)
(3)ทาง Web online Internet เข้าผ่าน URL https://webonlineinter.gfmis.go.th  โดยใช้ Token Key ของระบบ GFMIS Web Online
เมื่อ Login เข้าสู่หน้าจอหลักแล้วให้เลือกระบบงาน “ระบบติดตามและรายงานความก้าวหน้าโครงการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ 3 เดือนแรก” เมื่อเข้าสู่ระบบแล้วให้ระบุหรือบันทึกรายการ ดังนี้
1)ใส่รหัสงบประมาณของโครงการที่ต้องการจะบันทึก หรือ Click “ค้นหาข้อมูลโครงการ”
2)หากระบบไม่ Default จังหวัดเบิกจ่าย ให้คลิกเลือกจังหวัดเบิกจ่าย
3)ระบุผู้รับผิดชอบโครงการ และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
4)เลือกจังหวัดดำเนินการหลัก อำเภอ และตำบล พร้อม Click ยืนยัน สถานที่ดำเนินโครงการ
5)กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลโครงการ โดยได้รับความเห็นชอบจาก ครม. เรียบร้อยแล้ว ให้ทำการกรอกข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลง และรอตรวจสอบจากทางสำนักงบประมาณ เพื่อทำการตรวจสอบและอนุมัติ
6)ระบุวันที่ลงนามในสัญญา
7)บันทึกวงเงินลงนามในสัญญา พร้อม Click ยืนยัน
8)แนบไฟล์เอกสารสัญญา (.zip ขนาดไม่เกิน 500kb)
9)บันทึกแผนการเบิกจ่ายเงินรวมสัญญา (หน่วย : ล้านบาท)
10)ระบุแผนการดำเนินโครงการรวมทุกสัญญา (% สะสม)
11)บันทึกระยะเวลาดำเนินโครงการ เริ่มต้น และสิ้นสุด
12)สถานะของโครงการ และ เปอร์เซ็นความสำเร็จของงาน
13)กรณีที่โครงการนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้วให้ระบุวันที่ดำเนินการเสร็จ
14)แนบภาพถ่ายโครงการ พร้อมพิกัดของสถานที่ดำเนินโครงการ 2 รูป รูปที่ 1 ก่อนดำเนินโครงการ และรูปที่ 2 โครงการแล้วเสร็จ
1.2 การบันทึกข้อมูล e-From
1)Click ที่ปุ่ม e-From เพื่อเข้าสู่การกรอกรายละเอียดของโครงการ
2)ให้บันทึกวัตถุประสงค์และรายละเอียดในการดำเนินโครงการ โดยไม่เกิน 1,000 ตัวอักษร
3)Click ที่ปุ่มหน้าถัดไป เพื่อบันทึกข้อมูลของโครงการ หรือกดปุ่ม “บันทึกข้อมูล” 
4)บันทึกรูปภาพของโครงการ พร้อมคำอธิบายใต้ภาพ ได้สูงสุด 4 ภาพ โดยรูปภาพไม่ต้องมีพิกัด ให้กดปุ่ม SAVE ก่อนที่จะทำการบันทึกรูปภาพถัดไป
5)บันทึกหลักการและเหตุผลของการดำเนินโครงการ
6)Click ที่ปุ่มหน้าถัดไป เพื่อบันทึกข้อมูลของโครงการ หรือกดปุ่ม “บันทึกข้อมูล”
7)บันทึกสถานะของการดำเนินโครงการ เป็นรายเดือน โดยเลือกเดือนและปี ที่ต้องการจะบันทึก
8)กดปุ่ม “จัดเก็บรายงานสรุปความก้าวหน้า”
9)กดปุ่ม “บันทึกข้อมูล”
10)Click ที่ปุ่ม PDF เพื่อแสดงหน้าสรุปรายงานการบันทึก หรือ กดปุ่ม “กลับไปหน้าค้นหาโครงการ”
2. ระบบติดตามความก้าวหน้าโครงการโดยผ่าน www.tyy2558.com 
ระบบติดตามความก้าวหน้าโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ 3 เดือนแรก ให้เข้าใช้เว็บไซด์ www.tyy2558.com โดยเว็บไซด์จะแบ่งออกเป็น 8 ส่วนหลักๆ คือ


 

  1)Header เป็นส่วนหัวของเวปไซด์ จะประกอบด้วยแบนเนอร์ของโครงการ
2)Menu จะประกอบด้วย สรุปผู้บริหาร และคู่มือเวปไซด์ ซึ่งสรุปผู้บริหารต้องทำการ Login ได้เฉพาะผู้บริหารของหน่วยงานเจ้าของโครงการเท่านั้น
3)Content แสดงภาพรวมของโครงการ
4)รายพื้นที่ จะแสดงโครงการรายพื้นที่ โดยโครงการของแต่ละจังหวัด ในแต่ละภาค ซึ่งประกอบด้วย ทั้งประเทศ, ส่วนกลาง (กทม.), ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคกลาง และภาคใต้
5)แผนที่ประเทศไทย จะแสดงโครงการของแต่ละจังหวัด
6)ภาพรวมทั้งประเทศ จะแสดงโครงการของทุกหน่วยงานที่ได้รับงบ
7)หน่วยงานดำเนินการ จะแสดงโครงการของแต่ละหน่วยงานที่ได้รับงบ
8)ข่าว/ประกาศ
3. ระบบรายงานความก้าวหน้าสำหรับผู้บริหาร (EIS Dashboard)
ระบบรายงานความก้าวหน้าสำหรับผู้บริหาร (EIS Dashboard) เป็นสรุปของผู้บริหาร จะต้องทำการ Login ซึ่งจะใช้งานได้เฉพาะผู้บริหารของหน่วยงานเจ้าของโครงการเท่านั้น 


 

 เมื่อเข้าสู่ระบบรายงานความก้าวหน้าสำหรับผู้บริหาร (EIS Dashboard) ผู้บริหารสามารถเรียกดูข้อมูลได้ ดังนี้
1)แสดงโครงการของแต่ละภาค
2)แสดงโครงการที่มีการเปลี่ยนแปลง
3)แสดงสถานะของแต่ละภาค
4)แสดงข้อมูลรายกระทรวง
5)แสดงข้อมูลรายจังหวัด
6)แสดงภาพรวมของรายจังหวัด และรายหน่วยงาน
โดยระบบรายงานความก้าวหน้าสำหรับผู้บริหาร (EIS Dashboard) จะมีระบบการแจ้งเตือนสำหรับโครงการที่ล่าช้าด้วย

ข้อมูลสำคัญพึงทราบ หลักคิดสำคัญประกอบการตัดสินใจ สำหรับข้าราชการ และผู้รับบำนาญ

ผู้เล่าเรื่อง  :  นางสาวพยุง จันทร์งามดี
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วยงาน :  สำนักบริหารการรับ – จ่ายเงินภาครัฐ ส่วนบริหารการจ่ายเงิน 1
ชื่อโครงการ / ประชุม / สัมมนา / หลักสูตร  :  บรรยายเรื่องการกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญ
ตามพระราชบัญญํติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 (พ.ร.บ.UNDO)
หน่วยงานผู้จัด  :  กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)

วัตถุประสงค์ของโครงการ / ประชุม / สัมมนา / หลักสูตร
1) ช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ เรื่องการกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญตาม พรบ.2494
2) สามารถนำความรู้ความเข้าใจที่ได้รับไปใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญได้อย่างถูกต้อง

ความรู้ที่แบ่งปันในเรื่อง :  ข้อมูลสำคัญพึงทราบ หลักคิดสำคัญประกอบการตัดสินใจ สำหรับข้าราชการ และผู้รับบำนาญ

ข้อมูลสำคัญพึงทราบ การขอกลับไปใช้สิทธิใน พรบ.บำเหน็จบำนาญ พ.ศ.2494 (Undo) คือการเปิดโอกาสให้สมาชิก กบข.ภาคสมัครใจ หมายถึง ข้าราชการ หรือผู้รับบำนาญที่รับราชการก่อนวันที่ 27 มีนาคม 2540 และสมัครใจเป็นสมาชิก กบข. สามารถกลับไปใช้สิทธิรับบำนาญสูตรเก่า (สูตร พ.ศ.2494) ได้ตั้งแต่เกษียณ (กรณีผู้รับบำนาญ
อยู่ปัจจุบัน) หรือเมื่อเกษียณ (กรณีข้าราชการที่ยังไม่เกษียณ) ผลสืบเนื่องตามมาคือ การยุติการเป็นสมาชิก กบข. ซึ่งจะ
มีผลเกี่ยวข้องกับผู้ประสงค์ใช้สิทธิ Undo ดังนี้
กรณีผู้รับบำนาญ (ปัจจุบันรับเงินบำนาญสูตรสมาชิก กบข.)  หากประสงค์ใช้สิทธิ Undo พึงทราบข้อมูลต่อไปนี้
1.ต้องนำเงินรัฐที่รับจาก กบข. ไปแล้ว หมายถึง เงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินทั้ง 3 ก้อน หรือเรียกว่าเงินต้องคืนรัฐ มาหักกลบลบกันกับบำนาญส่วนเพิ่ม (หมายถึงส่วนต่างของบำนาญสูตรเก่า ลบ บำนาญสูตร กบข. คูณ จำนวนเดือนตั้งแต่ เกษียณถึง 30 กันยายน 2558 หรือ เรียกว่าเงินรัฐต้องคืน)
2.กรณีหักกลบลบกันแล้ว ได้เงินคืนจากรัฐ รัฐจะจ่ายคืนให้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป
3.กรณีหักกลบลบกันแล้ว ต้องคืนเงินรัฐ ผู้รับบำนาญต้องคืนเงินเหล่านั้นให้รัฐ (โดยคืนที่ส่วนราชการผู้เบิกบำนาญ) ภายในวันที่ 30 กันยายน 2558 โดยสามารถจ่ายครั้งเดียวเป็นเงินก้อนทั้งจำนวน ภายใน 30 มิถุนายน  หรือแบ่งชำระเป็นส่วน ๆ ส่วนละเท่า ๆ กันได้ตั้งแต่  1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2558
4.สามารถยื่นเรื่องใช้สิทธิ ได้ที่ส่วนราชการผู้เบิกบำนาญ ได้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2557 – 30 มิถุนายน 2558
5.เอกสารประกอบในการยื่นเรื่องใช้สิทธิ Undo คือ
-สำเนาบัตรประชาชนพร้อมสำเนาถูกต้อง
-แบบแสดงความประสงค์ขอใช้สิทธิรับบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 (แบบ บ.1)

หลักคิดในการตัดสินใจ กรณีผู้รับบำนาญ
ถ้าได้เงินคืน...............ควร Undo
ถ้าต้องคืนเงิน............ควรประเมินระยะเวลารอคอยว่าจะต้องรอเก็บบำนาญที่ได้เพิ่มกี่ปี จึงจะเท่ากับเงิน
ที่คืนรัฐไป เมื่อทราบระยะเวลารอคอยแล้วจึงค่อยตัดสินใจว่าจะ Undo ดีหรือไม่

กรณีข้าราชการ (เข้ารับราชการก่อนวันที่ 27 มีนาคม 2540 และสมัครเป็นสมาชิก กบข.) หากประสงค์ใช้สิทธิ Undo พึงทราบข้อมูลต่อไปนี้
1.เงินสะสมของท่าน
-ท่านจะยุติการส่งเงินสะสมตามกฎหมาย 3% และเงินสะสมว่วนเพิ่มตามความสมัครใจ 1-12% (ถ้ามี) เข้าบัญชีของท่านใน กบข. ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป
-กบข. จะคืนเงินสะสมของท่านที่ส่งสะสมตั้งแต่มีนาคม 2540 – กันยายน 2558 พร้อมผลประโยชน์
ที่ผ่านมาที่ กบข.บริหารให้ของเงินส่วนนี้ ด้วยวิธีการโอนเข้าบัญชีของท่าน ตั้งแต่ 20 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป
2.เงินสะสมของรัฐ
-รัฐยุติการส่ง “เงินสมทบ 3% และเงินชดเชย 2%” เข้าบัญชีของท่านตั้งแต่ 1 ตุลาคม  เป็นต้นไป
-ท่าน ไม่มีสทิธิได้รับ เงินของรัฐทั้งหมด เงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ ที่รัฐเคยส่งสะสมให้ในบัญชี กบข. ของท่าน พร้อมผลประโยชน์ที่ผ่านมาที่ กบข.บริหารให้ รัฐกำหนดให้มีการโอนเงินเหล่านี้เข้า บัญชีเงินสำรองของรัฐ และมอบหมายให้ กบข. บริหารต่อไป เหตุที่ท่านไม่ได้รับเงินเหล่านี้เพราะเงินเหล่านี้คือ เงินสำหรับผู้เป็นสมาชิก กบข. เพื่อชดเชยบำนาญที่ลดลง ในเมื่อท่านประสงค์ใช้สิทธิ Undo (บำนาญไม่ลดลง) รัฐจึงระบุใน พรบ.Undo ว่าท่านไม่มีสิทธิรับเงินเหล่านี้เมื่อเกษียณ
-ผู้ประสงค์ใช้สิทธิ สามารถยื่นเรื่องใช้สิทฺธิ ได้ที่หน่วยงานต้นสังกัด ได้ตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2557 – 30 มิถุนายน 2558
-เอกสารประกอบในการยื่นเรื่องใช้สิทธิ Undo คือ
  1.สำเนาบัตรประชาชนหร้อมรับรอบสำเนาถูกต้อง
  2.สำเนาบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทสะสะ เผื่อเรียก และออมทรัพย์ (ยกเว้นบัญชีฝากประจำ)
  3.แบบแสดงความประสงค์ขอกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญ ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 สำหรับข้าราชการ (แบบ ข.1)
หลักคิดสำคัญประกอบการตัดสินใจ สำหรับข้าราชการ ต้องประเมินให้ได้ว่า หาก Undo
1.จะได้บำนาญเพิ่มเท่าไหร่ (คำนวณจาก บำนาญสูตรเก่า – บำนาญสูตรสมาชิก กบข.)
2.จะทิ้ง “เงินรัฐ + ผลประโยชน์ที่ กบข. บริหาร” เท่าไหร่ (เงินรัฐ หมายถึง เงินประเดิม เงินสมทบ และเงินชดเชย ที่รัฐส่งให้ตั้งแต่ มีนาคม 2540 จนถึงเกษียณ  ผลประโยชน์ กบข. บริหาร หมายถึง ผลตอบแทนการลงทุนสำหรับเงินรัฐทั้งหมดตั้งแต่ 2540 จนถึงเกษียณ)
3.จะทิ้ง “เงินก้อนทั้งหมด” ที่ควรได้เมื่อเกษียณเท่าไหร่ (เงินสะสมของตัวเอง + เงินรัฐสะสมให้ + ผลประโยชน์ที่ กบข. บริหารให้)
4.ระยะเวลารอคอย ในการรอรับ “บำนาญส่วนเพิ่ม” ให้เท่ากับ “เงินรัฐที่ทิ้งไป” คือกี่ปี กี่เดือน และระยะเวลารอคอยนั้น “คุ้มค่า” กับการทิ้งเงินรัฐ และเงินก้อนหรือไม่
5.อย่าลืมว่าสำหรับข้าราชการเป็น การคำนวณตัวเลขในอนาคตเท่านั้น ซึ่งมีตัวแปรทั้งอัตราเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นต่อปี และประมาณการผลตอบแทนการลงทุน กบข. ต่อปี สมาชิกเป็นผู้กำหนดเอง