วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ความรู้เกี่ยวกับการขัดกันของผลประโยชน์ การรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ และการเปิดเผยราคากลางในการจัดซื้อจัดจ้าง (มาตรา 103 และมาตรา 103/7)
ผู้เล่าเรื่อง : นางนวลอนงค์ พงศ์นภารักษ์
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการ
หน่วยงาน : สำนักงานคลังจังหวัดอุตรดิตถ์
ชื่อโครงการสัมมนา : ความรู้เกี่ยวกับการขัดกันของผลประโยชน์ การรับผลประโยชน์ของ
เจ้าหน้าที่รัฐ และการเปิดเผยราคากลางในการจัดซื้อจัดจ้าง (มาตรา 103 และมาตรา 103/7)
วัตถุประสงค์ของโครงการสัมมนา : เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติตามกฎหมายการปฏิบัติราชการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2550 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 103 และมาตรา 103/7
การแบ่งปันความรู้
มาตรา ๑๐๓ ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจาก บุคคล นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย หรือกฎ ข้อบังคับที่ออกโดยอาศัย อํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา ตามหลักเกณฑ์และจํานวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด
บทบัญญัติในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของผู้ซึ่งพ้น จากการเป็น
เจ้าหน้าที่ของรัฐมาแล้วยังไม่ถึงสองปีด้วยโดยอนุโลม
ประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2543 ประกาศโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 103 ของพ.ร.บ. ป.ป.ช. เมื่อ วันที่ 30พฤศจิกายน 2543 มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2543
ข้อ 5 เจ้าหน้าที่ของรัฐจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาได้ ดังต่อไปนี้
(1) รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจาก ญาติ ซึ่งให้โดยเสน่หาตามจำนวนที่เหมาะสมตามฐานานุรูป
(2) รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ญาติมีราคาหรือมูลค่าในการรับจาก แต่ละบุคคล แต่ละโอกาสไม่เกินสามพันบาท
(3) รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่การให้นั้นเป็นการให้ในลักษณะให้กับบุคคลทั่วไป
ข้อ 7 การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์หรือมีมูลค่าหรือมูลค่ามากกว่าที่กำหนดไว้ใน ข้อ 5
- เจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับมาแล้วโดยมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องรับไว้เพื่อ...รักษาไมตรี มิตรภาพ พรือความสัมพันธ์อันดี ระหว่างบุคคล เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น ต้อง...แจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นต่อผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น สังกัด โดยทันทีที่สามารถกระทำได้ เพื่อให้วินิจฉัยว่า... มีเหตุผล,ความจำเป็น,ความเหมาะสมและสมควรที่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นรับทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้เป็นสิทธิของตนหรือไม่
วรรค 2 ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชา ฯลฯ มีคำสั่งว่าไม่สมควรรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ดังกล่าวก็ให้...
* คืนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นแก่ผู้ให้โดยทันที
กรณีที่ไม่สามารถคืนให้ได้
*ต้องส่งมอบทรัพย์สินหรือประโยชน์ดังกล่าวให้เป็นสิทธิของหน่วยงานที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดโดยเร็ว
เมื่อได้ดำเนินการตามวรรค 2 แล้ว ให้ถือว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นไม่เคยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์
ดังกล่าวเลย
หลักเกณฑ์ ตามประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับแก่ ผู้ซึ่งพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาแล้ว
ไม่ถึง 2 ปี ด้วย
มาตรา ๑๐๓/๗ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจดูได้ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ในกรณีที่มีการทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับบุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ ให้บุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐนั้น มีหน้าที่แสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐต่อกรมสรรพากร นอกเหนือจากบัญชีงบดุลปกติที่ยื่นประจำปี เพื่อให้มีการตรวจสอบเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินและการคำนวณภาษีเงินได้ในโครงการ
ที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐดังกล่าว ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด
ในกรณีที่ปรากฏจากการตรวจสอบหรือการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าบุคคลหรือ
นิติบุคคลใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกรณีมีความจําเป็นที่จะต้อง
ตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินหรือการชําระภาษีเงินได้ของบุคคลหรือนิติบุคคลนั้น แล้วแต่ กรณี
ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอํานาจประสานงานและสั่งให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับเรื่อง ดังกล่าว
ไปดําเนินการตามอํานาจหน้าที่แล้วให้หน่วยงานของรัฐนั้นมีหน้าที่รายงานผลการดําเนินการให้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบต่อไป
นอกจากกรณีตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นสมควร เพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เนื่องจากการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นสมควรในการกำหนดมาตรการเพื่อให้หน่วยงานของรัฐ
รับไปปฏิบัติ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจสั่งให้หน่วยงานของรัฐนั้นดำเนินการไปตามที่
คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดมาตรการในเรื่องนั้นแล้วรายงานให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบก็ได้
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
หลักนิติธรรมกับประชาธิปไตย
ผู้เล่าเรื่อง : นายโสภณ พวงคุ้ม
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : ผู้อำนวยการกลุ่มงานค่าตอบแทนและสวัสดิการ
หน่วยงาน : สำนักมาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการ
หลักสูตรฝึกอบรม : การประชุมวิชาการสถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 17 ประจำปี 2558
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
๑) เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและประสบการณ์
๒) นำเสนอข้อมูลภายใต้ฐานของการศึกษาวิจัยในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักนิติธรรม
เนื้อหาและหัวข้อวิชาของหลักสูตรการฝึกอบรม มีดังนี้
๑) หลักนิติธรรมกับประชาธิปไตย
๒) หลักนิติธรรมกับการพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในประเทศไทย
๓) หลักนิติธรรม รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย ... ต่างมุมมอง ต่างความเข้าใจ จุดหมายเดียวกัน ฯลฯ
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ : หลักนิติธรรมกับประชาธิปไตย
หลักนิติธรรมมีสาระสำคัญอะไรบ้างอย่างไร พอสรุปสาระสำคัญที่มีองค์ประกอบดังนี้
กฎหมายต้องบังคับเป็นการทั่วไป หมายถึง หลักนิติธรรมคือกฎหมายต้องมุ่งหมายบังคับใช้เป็นการทั่วไปกับบุคคลทุกคนอย่างเสมอภาคกันไม่มุ่งเฉพาะเจาะจงกับบุคคลใดคนหนึ่ง
กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง หมายถึง กฎหมายจะบัญญัติให้การกระทำที่เกิดก่อนที่จะมีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดทางอาญาเพื่อให้ลงโทษบุคคลย้อนหลังสำหรับการกระทำที่เกิดก่อนที่จะมีกฎหมายไม่ได้
การสันนิษฐานว่าผู้ต้องหาในคดีอาญาเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาเพื่อให้สามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่
หลักความอิสระและเป็นกลางของผู้พิพากษาและตุลาการ เนื่องจากผู้พิพากษาและตุลาการเป็นกลไกในการอำนวยความยุติธรรมขั้นสุดท้ายที่สำคัญ ดังนั้นผู้พิพากษาและตุลากการจะต้องมีความอิสระในการพิพากษาตัดสินคดีจะต้องไม่ถูกแทรกแซงจากฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือแม้แต่ฝ่ายตุลาการด้วยกัน รวมทั้งต้องมีความเป็นกลางไม่มีอคติใดๆ
เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องใช้อำนาจได้ภายใต้กฎหมายที่กำหนดไว้ จะใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่ได้หลักการข้อนี้จะช่วยคุ้มครองสิทธิเสรีของประชาชนทั่วไป
กฎหมายต้องไม่ยกเว้นความผิดให้แก่การกระทำในอนาคต การออกกฎหมายเพื่อรองรับการยกเว้นการกระทำผิดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตไม่สามารถกระทำได้ หลักการนี้ช่วยป้องกันผู้มีอำนาจที่อาจฉ้อฉลใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการป้องกันการกระทำความผิดในภายหน้า
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558
กฎหมายคอมพิวเตอร์
ผู้เล่าเรื่อง : นางเพ็ญแข สำราญกิจ
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วยงาน : กลุ่มอนุมัติพิเศษ สำนักกฎหมาย
โทรศัพท์เพื่อการปันความรู้ : 0 2127 7000 ต่อ 6601
หลักสูตรฝึกอบรม : กฎหมายคอมพิวเตอร์
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
๑) เพื่อให้บุคลากรเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์
๒) เพื่อให้บุคลากรเข้าใจในจริยธรรมและกฎหมายคอมพิวเตอร์
3) เพื่อให้บุคลากรสามารถปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามกฎหมาย
4) เพื่อให้บุคลากรสามารถปกป้องสิทธิ์ของตนเองและไม่ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ : อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ คือ ผู้กระทำผิดกฎหมายโดยใช้เทคโนโลยี มีการจำแนกไว้ ดังนี้
1.Novice พวกเด็กหัดใหม่ ที่พึ่งเริมหัดให้คอมพิวเตอร์ได้ไม่นาน
2.Deranged Person พวกจิตวิปริต ผิดปกติ ชอบความรุนแรง ชอบทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นบุคคล สิ่งของ ฯลฯ
3.Organize Crime กลุ่มอาชญากรรมที่ร่วมมือกันทำผิดในลักษณะขององค์กรใหญ่ที่มีระบบซับซ้อน
4.Career Criminal พวกอาชญากรรมมืออาชีพ เป็นกลุ่มที่เป็นห่วงที่สุด เพราะนับวันยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
5.Com Aritst พวกหัวพัฒนา ชอบความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ เพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตัว หาเงินในทางมิ
6.Dreamer พวกบ้าลัทธิ คอยทำผิดเนื่องจากมีความเชื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างรุนแรง
7.Cracker ผู้มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์จนสามารถลักลอบเข้าสู่ระบบได้ โดยมุ่งหมายเพื่อทำลายไฟล์และระบบให้ใช้การไม่ได้
รูปแบบการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
1.การลักลอบใช้/ขโมยข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต
2.อาชญากรนำเอาระบบการสื่อสารมาปกปิดความผิดตนเอง
3.การละเมิดสิทธิ์ปลอมแปลงรูปแบบ เลียนแบบระบบซอฟต์แวร์
4.ใช้คอมพิวเตอร์แพร่ภาพ เสียง ลามก อนาจาร และข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
5.ใช้คอมพิวเตอร์ฟอกเงิน
6.อันธพาลทางคอมพิวเตอร์ที่เข้าไปก่อกวน ทำลายระบบการจราจร ฯลฯ
7.หลอกลวงให้ร่วมค้าขายหรือลงทุน
8.แทรกแซงข้อมูล เช่น ดักจับ/ลักลอบค้นหารหัสบัตรเครดิตผู้อื่นมาใช้
9.ใช้คอมพิวเตอร์แอบโอนเงินบัญชีผู้อื่นเข้าบัญชีตนเอง
ข้อแนะนะสำหรับผู้ใช้บริการ
-อย่าบอก password ตนเองแก่บุคคลอื่น
-อย่านำ user id และ password ของบุคคลอื่นมาใช้งานหรือเผยแพร่
-อย่าส่ง (send) หรือส่งต่อ (forward) ภาพ ข้อความ หรือภาพเคลื่อนไหวที่ผิดกฎหมาย
-อย่าให้บุคคลอื่นที่ไม่รู้จักมายืมใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์
-การติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายควรจะมีระบบป้องกันมิให้บุคคลอื่นแบใช้งานโดยมิได้รับอนุญาต
-เทียบเวลาประเทศไทยให้ตรงกับเครื่องให้บริการเวลา (time Server)
วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558
การออกแบบกราฟิกสำหรับพรีเซนเทชั่น ด้วย Photoshop
ผู้เล่าเรื่อง : นางสาว สุจิตรา นภาคณาพร
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
หน่วยงาน : สำนักมาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการ
หลักสูตรฝึกอบรม : การออกแบบกราฟิกสำหรับพรีเซนเทชั่น ด้วย Photoshop
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
๑) เพื่อให้ข้าราชการพลเรือนได้มีความรู้ในด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างหลากหลาย
๒) เพื่อให้ข้าราชการพลเรือนสามารถนำโปรแกรม Photoshop มาปรับใช้งานในองค์กรได้
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ
1. การรวมหลายภาพเป็นภาพเดียว
2. การปรับขนาดภาพ Free Transform
1.การรวมหลายภาพเป็นภาพเดียว
step 1: เปิดหลายๆ ภาพ
step 2: แสดงภาพคู่กัน โดยลากชื่อภาพออกมาเป็นหน้าต่างย่อย
step 3: Move tool คลิ๊กเลือกภาพก่อน แล้วลากภาพไปทันกัน
** โปรแกรมแยก Layer auto
Tool เพิ่มเติม Magic Eraser สำหรับลบพื้นที่ตามสีภาพ
2. การปรับขนาดภาพ Free Transform
• Move
• Scale (Shift = ล๊อคสัดส่วน)
• Rotate(Shift = snap 15 องศา)
* เสร็จแล้ว Enter , ยกเลิก กด ESC
Free Transform เพิ่มเติม
คลิ๊กขวา ขณะ Free Transform อยู่
•Skew : ดึงมุมภาพ ในระนาบเดิม
•Distort : ดึงมุมภาพ อิสระ
•Perspective : ดึง 2 ข้าง พร้อมกัน
•Warp : ดัดแบบตาข่าย
- ปรับรูปทรงที่ Option bar
- ปรับค่า Bend โดยลากที่จุดตรงตาข่ายได้เลย
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
หน่วยงาน : สำนักมาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการ
หลักสูตรฝึกอบรม : การออกแบบกราฟิกสำหรับพรีเซนเทชั่น ด้วย Photoshop
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
๑) เพื่อให้ข้าราชการพลเรือนได้มีความรู้ในด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างหลากหลาย
๒) เพื่อให้ข้าราชการพลเรือนสามารถนำโปรแกรม Photoshop มาปรับใช้งานในองค์กรได้
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ
1. การรวมหลายภาพเป็นภาพเดียว
2. การปรับขนาดภาพ Free Transform
1.การรวมหลายภาพเป็นภาพเดียว
step 1: เปิดหลายๆ ภาพ
step 2: แสดงภาพคู่กัน โดยลากชื่อภาพออกมาเป็นหน้าต่างย่อย
step 3: Move tool คลิ๊กเลือกภาพก่อน แล้วลากภาพไปทันกัน
** โปรแกรมแยก Layer auto
Tool เพิ่มเติม Magic Eraser สำหรับลบพื้นที่ตามสีภาพ
2. การปรับขนาดภาพ Free Transform
• Move
• Scale (Shift = ล๊อคสัดส่วน)
• Rotate(Shift = snap 15 องศา)
* เสร็จแล้ว Enter , ยกเลิก กด ESC
Free Transform เพิ่มเติม
คลิ๊กขวา ขณะ Free Transform อยู่
•Skew : ดึงมุมภาพ ในระนาบเดิม
•Distort : ดึงมุมภาพ อิสระ
•Perspective : ดึง 2 ข้าง พร้อมกัน
•Warp : ดัดแบบตาข่าย
- ปรับรูปทรงที่ Option bar
- ปรับค่า Bend โดยลากที่จุดตรงตาข่ายได้เลย
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558
กิจกรรมเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ (วัดทองเนียม)
ผู้เล่าเรื่อง : นางปิยนาถ อุดมชัยเดช
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ
หน่วยงาน : สำนักบริหารการรับ – จ่ายเงินภาครัฐ (ฝ่ายบริหารทั่วไป)
ชื่อโครงการ : กิจกรรมเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ (วัดทองเนียม)
หน่วยงานผู้จัด : กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
วัตถุประสงค์ของโครงการ
๑) เพื่อพัฒนาความรู้
๒) เพื่อเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม ให้แก่เพื่อนร่วมงาน
๓) เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้มีโอกาสเข้าวัดปฏิบัติธรรมในวันธรรมสวนะ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
ความรู้ที่แบ่งปันในเรื่อง : การสมาทานศีล
ความหมายของศีล
ศีล แปลว่า ปกติของสิ่งต่าง ๆ อันเป็นสภาวธรรมที่มีที่เป็นกับสิ่งนั้น ๆ เช่น ดวงอาทิตย์เป็นดวงไฟที่ร้อนและให้แสงสว่าง ความร้อนและความสว่างถือว่าเป็นสภาวะปกติของดวงอาทิตย์ถ้าดวงอาทิตย์ยังร้อน ยังให้แสงสว่างอยู่ ก็กล่าวได้ว่าดวงอาทิตย์ยังมีปกติยังรักษาปกติของตนไว้ได้ หากเมื่อใดดวงอาทิตย์เกิดไม่ร้อนหรือไม่ให้แสงสว่างขึ้นมา เราก็เรียกว่าดวงอาทิตย์ผิดปกติหรือเสียปกติไป
ปกติเป็นความหมายของศีลดังนี้
คนเราโดยทั่วไปก็มีปกติคือมีศีลประจำตัวอยู่ทุกคนแล้ว ปกติของคนคือไม่ฆ่ากัน ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ลักขโมยทรัพย์สินของกันและกัน ไม่ล่วงละเมิดในคู่ครองของกัน ไม่มักมากในกาเมประเวณี ไม่โกหกหลอกลวงกันไม่ทำให้ผู้อื่นเสียผลประโยชน์ด้วยคำพูดของคน ไม่หลงลืมสติ ไม่ติดสิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษทุกชนิดนี่คือปกติของคน หากผู้ใดเป็นคนเหี้ยมโหด ชอบทารุณ ชอบฆ่าคนอื่น ชอบลักขโมยทรัพย์สินของคนอื่น เป็นต้น ผู้นั้นชื่อว่าได้ทำผิดปกติของคนไป คือผิดไปจากคนธรรมดาปกตินั่นเอง ซึ่งการกระทำนั้นแม้ทางบ้านเมืองและสังคมตามปกติก็ไม่ยอมรับ
จุดมุ่งหมายในการสมาทานศีล
การสมาทานศีล เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่า การรับศีล ก็เพื่อปฏิญาณตนต่อหน้าพระผู้ให้ศีลและต่อตนเองว่า จะไม่ล่วงละเมิดข้อห้ามนั้น ๆ จะรักษาปกติของตนไว้ เป็นการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นเป็นเบื้องต้น ด้วยมีความตั้งใจแน่วแน่ด้วยตนเองโดยไม่ต้องบังคับว่าจะงดเว้นจากความชั่วทุจริตผิดปกติของตน อันจะเกิดทางกาย ทางวาจาต่อไป
อานิสงส์ของการสมาทานศีลก่อนให้ทาน
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนแนวทางแห่งการทำบุญให้ทานที่จะได้อานิสงส์มากแก่ผู้กระทำ สรุปใจความได้ว่า "การให้ทานควรเลือกให้ เลือกทั้งผู้ให้ สิ่งที่ให้ และผู้รับ ทานที่เลือกให้พระองค์ทรงสรรเสริญ และย่อมมีผลมีอานิสงส์มาก เหมือนชาวนาเลือกพันธ์ข้าวดีแล้วหว่านลงในนาดี ย่อมได้ผลมาก ฉะนั้น เมื่อผู้ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ผู้รับก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ทานของผู้นั้นย่อมมีผลมีอานิสงส์มาก เพราะบริสุทธิ์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อผู้ให้หรือผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ฝ่ายเดียว ทานนั้นย่อมมีผลมีอานิสงส์ลดน้อยลงมา เพราะบริสุทธิ์เพียงฝ่ายเดียว เมื่อผู้ให้ก็ไม่บริสุทธิ์ ผู้รับก็ไม่บริสุทธิ์ ทานนั้นย่อมมีผลมีอานิสงส์น้อย เพราะทั้งสองฝ่ายไม่บริสุทธิ์" ดังนี้
ดังนั้น ในการทำบุญให้ทานทุกครั้ง ท่านจึงสอนให้รับศีลเสียก่อน เพื่อให้ตนเองบริสุทธิ์ทางกายวาจาใจ ทานที่ให้หรือบุญที่จะทำจะได้มีผลมีอานิสงส์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ท่านผู้ฉลาดในการทำบุญจึงได้ประสบผลบุญตามปรารถนาตลอดมา โดยเมื่อถึงคราวทำบุญก็ทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ รักษาปกติกาย วาจาให้เรียบร้อยสมบูรณ์ โดยเวลารับศีลก็เต็มใจรับ รับด้วยความตั้งใจ เวลารักษาศีลก็เต็มใจตั้งใจรักษา ไม่ยอมให้ศีลด่างพร้อยด้วยประการต่าง ๆ โดยเฉพาะในขณะทำบุญ จะประคองศีลของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ยิ่งทีเดียว
วิธีสมาทานศีล
การทำตนให้มีศีล โดยปกติมักเข้าใจว่าต้องไปรับกับพระเท่านั้นจึงจะใช้ได้ และจึงจะเป็นศีลถูกต้อง มีอานิสงส์มาก ความจริงการรักษาศีลหรือทำตนให้มีศีลนั้นมีหลายวิธีด้วยกัน มีทั้งวิธีที่รับกับพระและไม่ได้รับกับพระ แต่จะเป็นวิธีไหนก็ตามล้วนมีผลมีอานิสงส์ทั้งสิ้น
๑.แบบสัมปัตตวิรัติ
แบบนี้ไม่ต้องรับจากพระ ไม่ต้องกล่าววาจาสมาทานใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เกิดมีสามัญสำนึกในการ จากความชั่วทุจริตต่าง ๆ เกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีด้วยตนเอง แล้วเว้นจากการทำผิด เช่น มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ พอที่จะยักยอกหรือฉ้อโกงเอามาได้ แต่ไม่ทำ ทั้ง ๆ ที่ทำได้ ทั้งนี้ เพราะมาคิดว่า การยักยอกฉ้อโกงนี้เป็นบาปทุจริต แม้ยักยอกเอาไปได้ เงินทองนี้อาจจะอำนวยประโยชน์และให้ความสุขได้จริง แต่เป็นความสุขที่เจือด้วยความทุกข์ เพราะต้องหวาดผวาระแวงภัยระวังตัวอยู่เสมอ กลัวเขาจะจับได้ เป็นต้น ทั้งยังจะทุกข์หนักยิ่งกว่าทุกข์เพราะไม่พอกินไม่พอใช้เสียอีก หรือมาคิดว่า การยักยอกฉ้อโกงเขา อย่างนี้เป็นสิ่งไม่เหมาะไม่ควรแก่ตน เราเป็นมนุษย์เป็นผู้มีใจสูงมีวัฒนธรรม เล่าเรียนมาก็สูง มาทำอย่างนี้จะเหมาะหรือถ้าเราทำ ระดับจิตใจของเราก็จะลดระดับต่ำลง ต่อไปจะได้ใจทำซ้ำอีก หนักเข้าก็จะชาชินกับความชั่วอย่างนี้ความเป็นมนุษย์ของเราก็จะลดระดับต่ำลงเรื่อย ๆ ดังนี้เป็นต้น
เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วก็เว้นจากการกระทำนั้น ๆ ไม่ยอมทำตามใจปรารถนาที่เกิดขึ้นครั้งแรก ทั้งนี้เพราะมาเกิดสามัญสำนึกอายชั่วกลัวบาปขึ้นมาเอง อย่างนี้ก็เป็นศีลเหมือนกัน แม้การคิดงดเว้นจากการล่วงละเมิดศีลข้ออื่น ๆ นอกจากที่ยกตัวอย่างมานี้ด้วยตนเอง ก็จัดเป็นศีลแบบสัมปัตตวิรัติเช่นกัน ผู้มีศีลแบบนี้ เป็นผู้เอาตัวรอดจากความชั่วเฉพาะหน้าได้
๒.แบบสมาทานวิรัติ
แบบนี้เป็นแบบที่รับกับพระหรือจากผู้มีศีลอื่น คือต้องมีบุคคลอื่นเป็นสักขีพยานเสียก่อน จึงรักษาได้แบบนี้เป็นแบบที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป เรียกว่ารักษาศีลด้วยมีเจตนาตั้งใจรับด้วยการสมาทานจากผู้อื่น ผู้มีศีลแบบนี้อาจล่วงละเมิดศีลของตนได้ง่ายหากไม่มีผู้อื่นเห็น เพราะฉะนั้น จึงต้องระวังใจไม่ให้เผลออีกเหมือนกันเพราะถ้าเผลอเมื่อไร จะล่วงละเมิดศีลข้อนั้น ๆ ทำให้ศีลขาดหรือด่างพร้อยลงทันที
วีธีฝึกรักษาศีลแบบนี้ เมื่อไม่อาจจะสมาทานจากพระทุกวันได้ จะสมาทานเองก็ได้เหมือนกัน โดยตั้งใจสมาทานเองทุกวันก่อนออกจากบ้านไปทำงาน หรือตอนเช้า ๆ เมื่อตื่นนอน ด้วยการประนมมือเข้าหาพระพุทธรูปบูชาที่บ้านหรือในที่ทำงาน หรือหากแขวนพระแขวนเหรียญไว้ที่คอ ก็กำพระกำเหรียญนั้นขึ้นประนมพร้อมตั้งใจอธิษฐานว่า
ปาณาติปาตา เวระมะณี วันนี้ ข้าพเจ้า จะไม่ฆ่าสัตว์
อะทินนาทานา เวระมะณี วันนี้ ข้าพเจ้า จะไม่ลักทรัพย์
กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี วันนี้ ข้าพเจ้า จะไม่ประพฤติล่วงประเวณี
มุสาวาทา เวระมะณี วันนี้ ข้าพเจ้า จะไม่พูดเท็จ
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี วันนี้ ข้าพเจ้า จะไม่ดื่มสุรายาเมาทุกชนิด
ทำเช่นนี้ก็ชื่อว่าได้ปฏิญญาว่าจะรักษาศีลแล้ว ต่อไปก็พยายามตั้งใจรักษาปฏิญญานั้นให้ดี ต้องนึกอยู่เสมอว่าตัวเองได้สมาทานศีลมาแล้ว
๓.แบบสมุจเฉทวิรัติ
แบบนี้เป็นแบบที่จะงดเว้นเองหรืองดเว้นเพราะสมาทานก็ได้ แต่สูงกว่าสองแบบแรกโดยมีความตั้งใจ เด็ดเดี่ยวที่จะงดเว้นจากบาปทุจริตต่าง ๆ โดยเด็ดขาด ตั้งใจรักษาศีลตลอดไป เรียกว่า "รักษาศีลตลอดชีพ" แบบนี้เป็นแบบที่เคร่งครัดมาก มีผลอานิสงส์มาก เพราะเป็นแบบของพระอริยะเจ้า ซึ่งคนเราสามารถจะดำเนินรอยตามได้ โดยวิธีตั้งใจงดเว้นทุกวันก่อนนอนหรือก่อนออกไปทำงานนอกบ้านว่า
ปาณาติปาตา เวระมะณี ข้า ฯ จะไม่ฆ่าสัตว์ ตลอดชีวิต
อะทินนาทานา เวระมะณี ข้า ฯ จะไม่ลักทรัพย์ ตลอดชีวิต
กาเมสุมิจฉารา เวระมะณี ข้า ฯ จะไม่ประพฤติล่วงประเวณี ตลอดชีวิต
มุสาวาทา เวระมะณี ข้า ฯ จะไม่พูดเท็จ ตลอดชีวิต
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี ข้า ฯ จะไม่ดื่มสุรายาเมาทุกชนิด ตลอดชีวิต
ทั้ง 3 แบบนี้ เป็นการทำตนให้มีศีลจากง่ายไปหายาก ผู้หวังความสุขความเจริญในชีวิต ก็อาจฝึกจากวิธีต้นไปหาวิธีปลายได้ และไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ในเพศไหนวัยใด หากทำได้ ย่อมได้รับอานิสงส์เท่าเทียมกันหมด
วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
การออกแบบและจัดการฐานข้อมูลด้วย Microsoft Access
ผู้เล่าเรื่อง : นางสาวญาณิศา ศิริวัฒน์
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
หน่วยงาน : สำนักกฎหมาย
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับฐานข้อมูลและการใช้งานเบื้องต้นเกี่ยวกับโปรแกรม Microsoft Access 2010 และเข้าใจความหมาย ประโยชน์ความสำคัญของการจัดการฐานข้อมูล ความสามารถของโปรแกรม รวมถึงอธิบายส่วนประกอบต่าง ๆ ในหน้าจอโปรแกรม Microsoft Access 2010 ได้
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ : การออกแบบและจัดการฐานข้อมูลด้วย Microsoft Access
ระบบฐานข้อมูล
ปัจจุบันการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดการเกี่ยวกับฐานข้อมูล (database) ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรที่มีขนาดใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากการจัดการสามารถทำได้รวดเร็วและถูกต้องแม่นำ ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมในการดำเนินการขององค์กรสูงขึ้นด้วยระบบฐานข้อมูล (Database System) คือการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ซึ่งผู้ใช้สามารถเรียกใช้ข้อมูลดังกล่าวได้ในลักษณะต่าง ๆ เช่น การเพิ่มข้อมูล (Add Data) การแทรกข้อมูล (Insert Data) การเรียกใช้ข้อมูล (Retrieve Data) การแก้ไขและลบข้อมูล (Update & Delete Data) ตลอดจนการเคลื่อนย้ายข้อมูล (Move Data) ไปตามที่กำหนด
โครงสร้างของระบบ (structure of Databases)
ระบบฐานข้อมูลในมุมมองของผู้ใช้สามารถแบ่งออกตามลักษณะโครงสร้าง ซึ่งประกอบไปด้วย โครงสร้างหลัก 2 ส่วน ได้แก่ ส่วน Font end และ Back end
Font End เป็นโปรแกรมประยุกต์ (Application) ที่อาจจะสร้างจากภาษาต่าง ๆ เช่น ภาษาระดับสูง CASE หรือภาษาอื่น ๆ ส่วนนี้โดยปกติจะรองรับการท างานของผู้ใช้ (End User) เพื่อทำหน้าที่ติดต่อกับ ระบบ
Back End เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการจัดการกับระบบฐานข้อมูลทั้งหมด ในแง่ของการจัดเก็บและเรียกใช้ ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลจริง ได้แก่ การปฏิบัติการต่างๆ กับข้อมูล, การจัดทำ Backup, การควบคุมความ ถูกต้องในการใช้ข้อมูลพร้อมกัน รวมไปถึงการควบคุมความปลอดภัยของระบบ เป็นต้น
องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล
Data เนื่องจากฐานข้อมูลเป็นการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล ให้มีลักษณะเป็นศูนย์กลางข้อมูลอย่างเป็นระบบ ในกรณีที่มีผู้ใช้ร่วมกันหลายคน (Multi-User) ข้อมูลจะต้องสามารถเรียกใช้ร่วมกันได้ ซึ่งในทางปฏิบัติผู้ใช้จะมองภาพของข้อมูล ที่แตกต่างกันไปตามระดับของการออกแบบระบบ
Hardware ในส่วนของ Hardware ที่เกี่ยวช้องกับระบบ จะพิจารณาถึงส่วนประกอบที่สำคัญสองประการ ส่วนแรกคือ สื่อในการเก็บข้อมูล (Secondary Storage) ได้แก่ การเก็บข้อมูลด้วย Magnetic Disk รวมไปถึงการติดต่อระหว่างอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น I/O Device ต่าง ๆ ส่วนที่สองจะเกี่ยวข้องกับความเร็วในการทำงานของโปรเซสเซอร์และเมมโมรี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดของข้อมูลในระบบและจำนวนของผู้ใช้เป็นตัวกำหนด
User ในระบบฐานข้อมูลจะมีบุคลากรที่เกี่ยวช้องดังนี้
Programmer เป็นบุคลากรที่ทำหน้าที่เขียนโปรแกรมประยุกต์ใช้งาน เพื่อการจัดเก็บและการเรียกใช้งาน เป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้
End User เป็นบุคลากรที่ทำการใช้ข้อมูลจากระบบ ซึ่งโดยปกติจะทำงานใน 3 ลักษณะ คือ การอ่าน (Read Only), การเพิ่มหรือลบข้อมูล (Add/Delete) และการแก้ไขข้อมูล (Modify Data) เป็นต้น
DBA (Database administrator) เป็นบุคลากรที่ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุม และบริหารงานของ ระบบฐานข้อมูลทั้งหมด นั่นคือจะเป็นผู้ที่ต้องตัดสินใจว่าข้อมูลใด ที่จะรวบรวมเข้าสู่ระบบรวมไปถึงเป็น ผู้กำหนดกฎเกณฑ์ที่ใช้ภายในระบบ เช่น วิธีการในการจัดเก็บข้อมูล การเรียกใช้ข้อมูลตลอดจนการ กำหนดการรักษาความปลอดภัยในระบบ เป็นต้น
Software ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ใช้ และข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในสื่อต่างๆ Software ใน ส่วนนี้เรียกว่า Database Management System (DBMS) นั่นคือ ความต้องการใช้ข้อมูลจากผู้ใช้จะ ถูกจัดการโดย DBMS เพื่อที่จะทานในลักษณะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกใช้ข้อมูลการจัดทำรายงานและการปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขในรูปแบบต่าง ๆ
แนวคิดการออกแบบฐานข้อมูล (Database Approach)
ระบบฐานข้อมูลจะมีแนวคิดในการจัดการกับตัวข้อมูลโดยตรง นี่นคือความพร้อมของข้อมูลที่ จะถูกเรียกใช้ได้ทันทีที่ต้องการ นอกจากนี้แล้วข้อมูลในระบบจะถูกใช้ร่วมกัน (Shared Data) โดยผู้ใช้ แต่ละคนจะมองเห็นระบบฐานข้อมูลที่แตกต่างกันตามลักษณะการทำงานที่ได้ถูกกำหนดไว้โดยผู้ออกแบบระบบ ผลกระทบของการประมวลผลด้วยระบบฐานข้อมูล
ข้อดีของการประมวลผลด้วยระบบฐานข้อมูล
1. ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Minimal Data Redundancy) การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะเป็นแฟ้มข้อมูล อาจทำให้ข้อมูลประเภทเดียวกันถูกเก็บไว้หลาย ๆ แห่ง ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูลขึ้นได้ ดังนั้น การนำข้อมูลรวมมาเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูลจะช่วยลดปัญหาความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้
2. หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลได้ (Consistency of Data) การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะเป็นแฟ้มข้อมูล โดยที่ข้อมูลเป็นเรื่องเดียวกันอาจมีอยู่ในหลายแฟ้ม ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งของข้อมูลขึ้นได้ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการแก้ไขข้อมูลที่แฟ้มแห่งหนึ่ง แต่มิได้แก้ไขข้อมูลเรื่องเดียวกันที่อยู่ในไฟล์อื่น ๆ ทำให้ข้อมูลนั้น ๆ แตกต่างกันได้
3. จำกัดความผิดพลาดในการป้อนข้อมูลให้น้อยที่สุด (Data Integrity) บางครั้งความผิดพลาดของข้อมูล อาจเกิดขึ้นจากการป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเข้าสู่ระบบดังนั้นในระบบจัดการ ฐานข้อมูล จึงจำเป็นที่จะต้องกำหนดกฎเกณฑ์ในการรับข้อมูลจากการป้อนของผู้ใช้ เพื่อรักษาความถูกต้องของข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
4. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ (Sharing of Data) เนื่องจากระบบฐานข้อมูลเป็นการจัดเก็บข้อมูลไว้ในที่เดียวกัน เมื่อผู้ใช้ต้องการเรียกใช้ข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลที่แตกต่างกันก็จะสามารถทำได้โดยง่าย
5. สามารถกำหนดความเป็นมาตรฐานเดียวกันได้ (Enforcement of Standard) การเก็บข้อมูลไว้ด้วยกัน จะสามารถกำหนดและควบคุมความมีมาตรฐานของข้อมูลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้ ดังนั้น จึงทำให้ระบบเกิดความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น
6. สามารถกำหนดระบบความปลอดภัยของข้อมูลได้ (Security and Privacy Control) เนื่องจากระบบ จะทำการกำหนดระดับของผู้ใช้แต่ละคนตามลำดับความสำคัญของผู้ใช้ ดังนั้น จึงสามารถที่จะควบคุมและดูแลความปลอดภัย ของข้อมูลภายในระบบได้ดียิ่งขึ้น
7. ข้อมูลมีความเป็นอิสระ (Data Independence) ระบบฐานข้อมูลจะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงกับโปรแกรมประยุกต์ที่ทำงานกับข้อมูลโดยตรงการแก้ไขข้อมูล เช่น ต้องการเปลี่ยนรหัสไปรษณีย์จากเลข 4 หลัก เป็นเลข 5 หลัก ก็จะทำการแก้ไขข้อมูลที่เป็นรหัสไปรษณีย์ เฉพาะโปรแกรมที่เรียกใช้รหัสไปรษณีย์เท่านั้น ส่วนโปรแกรมอื่นจะเป็นอิสระต่อการเปลี่ยนแปลงนี้
ข้อเสียของการประมวลผลด้วยระบบฐานข้อมูล
1. ขั้นตอนการออกแบบดำเนินการและการบำรุงรักษามีต้นทุนที่สูง เนื่องจากระบบต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ในการออกแบบระบบ ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน Hardware และ Software รวมไปถึงราคาอุปกรณ์ที่ใช้มีราคาค่อนข้างสูง
2. ระบบมีความซับซ้อนจำเป็นต้องมีผู้ดูแลระบบที่ถูกฝึกมาอย่างดี เพื่อรองรับสถานการณ์ที่ผิดพลาดอันอาจจะเกิดขึ้นได้
3. การเสี่ยงต่อการหยุดชะงักของระบบ เนื่องจากข้อมูลอาจถูกจัดเก็บแบบรวมศูนย์ (Centralized Database System) ความล้มเหลวของการทำงานบางส่วนอาจทำให้ระบบฐานข้อมูลโดยรวมหยุดชะงักการทำงานได้
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
หน่วยงาน : สำนักกฎหมาย
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับฐานข้อมูลและการใช้งานเบื้องต้นเกี่ยวกับโปรแกรม Microsoft Access 2010 และเข้าใจความหมาย ประโยชน์ความสำคัญของการจัดการฐานข้อมูล ความสามารถของโปรแกรม รวมถึงอธิบายส่วนประกอบต่าง ๆ ในหน้าจอโปรแกรม Microsoft Access 2010 ได้
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ : การออกแบบและจัดการฐานข้อมูลด้วย Microsoft Access
ระบบฐานข้อมูล
ปัจจุบันการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดการเกี่ยวกับฐานข้อมูล (database) ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรที่มีขนาดใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากการจัดการสามารถทำได้รวดเร็วและถูกต้องแม่นำ ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมในการดำเนินการขององค์กรสูงขึ้นด้วยระบบฐานข้อมูล (Database System) คือการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ซึ่งผู้ใช้สามารถเรียกใช้ข้อมูลดังกล่าวได้ในลักษณะต่าง ๆ เช่น การเพิ่มข้อมูล (Add Data) การแทรกข้อมูล (Insert Data) การเรียกใช้ข้อมูล (Retrieve Data) การแก้ไขและลบข้อมูล (Update & Delete Data) ตลอดจนการเคลื่อนย้ายข้อมูล (Move Data) ไปตามที่กำหนด
โครงสร้างของระบบ (structure of Databases)
ระบบฐานข้อมูลในมุมมองของผู้ใช้สามารถแบ่งออกตามลักษณะโครงสร้าง ซึ่งประกอบไปด้วย โครงสร้างหลัก 2 ส่วน ได้แก่ ส่วน Font end และ Back end
Font End เป็นโปรแกรมประยุกต์ (Application) ที่อาจจะสร้างจากภาษาต่าง ๆ เช่น ภาษาระดับสูง CASE หรือภาษาอื่น ๆ ส่วนนี้โดยปกติจะรองรับการท างานของผู้ใช้ (End User) เพื่อทำหน้าที่ติดต่อกับ ระบบ
Back End เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการจัดการกับระบบฐานข้อมูลทั้งหมด ในแง่ของการจัดเก็บและเรียกใช้ ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลจริง ได้แก่ การปฏิบัติการต่างๆ กับข้อมูล, การจัดทำ Backup, การควบคุมความ ถูกต้องในการใช้ข้อมูลพร้อมกัน รวมไปถึงการควบคุมความปลอดภัยของระบบ เป็นต้น
องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล
Data เนื่องจากฐานข้อมูลเป็นการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล ให้มีลักษณะเป็นศูนย์กลางข้อมูลอย่างเป็นระบบ ในกรณีที่มีผู้ใช้ร่วมกันหลายคน (Multi-User) ข้อมูลจะต้องสามารถเรียกใช้ร่วมกันได้ ซึ่งในทางปฏิบัติผู้ใช้จะมองภาพของข้อมูล ที่แตกต่างกันไปตามระดับของการออกแบบระบบ
Hardware ในส่วนของ Hardware ที่เกี่ยวช้องกับระบบ จะพิจารณาถึงส่วนประกอบที่สำคัญสองประการ ส่วนแรกคือ สื่อในการเก็บข้อมูล (Secondary Storage) ได้แก่ การเก็บข้อมูลด้วย Magnetic Disk รวมไปถึงการติดต่อระหว่างอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น I/O Device ต่าง ๆ ส่วนที่สองจะเกี่ยวข้องกับความเร็วในการทำงานของโปรเซสเซอร์และเมมโมรี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดของข้อมูลในระบบและจำนวนของผู้ใช้เป็นตัวกำหนด
User ในระบบฐานข้อมูลจะมีบุคลากรที่เกี่ยวช้องดังนี้
Programmer เป็นบุคลากรที่ทำหน้าที่เขียนโปรแกรมประยุกต์ใช้งาน เพื่อการจัดเก็บและการเรียกใช้งาน เป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้
End User เป็นบุคลากรที่ทำการใช้ข้อมูลจากระบบ ซึ่งโดยปกติจะทำงานใน 3 ลักษณะ คือ การอ่าน (Read Only), การเพิ่มหรือลบข้อมูล (Add/Delete) และการแก้ไขข้อมูล (Modify Data) เป็นต้น
DBA (Database administrator) เป็นบุคลากรที่ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุม และบริหารงานของ ระบบฐานข้อมูลทั้งหมด นั่นคือจะเป็นผู้ที่ต้องตัดสินใจว่าข้อมูลใด ที่จะรวบรวมเข้าสู่ระบบรวมไปถึงเป็น ผู้กำหนดกฎเกณฑ์ที่ใช้ภายในระบบ เช่น วิธีการในการจัดเก็บข้อมูล การเรียกใช้ข้อมูลตลอดจนการ กำหนดการรักษาความปลอดภัยในระบบ เป็นต้น
Software ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ใช้ และข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในสื่อต่างๆ Software ใน ส่วนนี้เรียกว่า Database Management System (DBMS) นั่นคือ ความต้องการใช้ข้อมูลจากผู้ใช้จะ ถูกจัดการโดย DBMS เพื่อที่จะทานในลักษณะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกใช้ข้อมูลการจัดทำรายงานและการปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขในรูปแบบต่าง ๆ
แนวคิดการออกแบบฐานข้อมูล (Database Approach)
ระบบฐานข้อมูลจะมีแนวคิดในการจัดการกับตัวข้อมูลโดยตรง นี่นคือความพร้อมของข้อมูลที่ จะถูกเรียกใช้ได้ทันทีที่ต้องการ นอกจากนี้แล้วข้อมูลในระบบจะถูกใช้ร่วมกัน (Shared Data) โดยผู้ใช้ แต่ละคนจะมองเห็นระบบฐานข้อมูลที่แตกต่างกันตามลักษณะการทำงานที่ได้ถูกกำหนดไว้โดยผู้ออกแบบระบบ ผลกระทบของการประมวลผลด้วยระบบฐานข้อมูล
ข้อดีของการประมวลผลด้วยระบบฐานข้อมูล
1. ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Minimal Data Redundancy) การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะเป็นแฟ้มข้อมูล อาจทำให้ข้อมูลประเภทเดียวกันถูกเก็บไว้หลาย ๆ แห่ง ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูลขึ้นได้ ดังนั้น การนำข้อมูลรวมมาเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูลจะช่วยลดปัญหาความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้
2. หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลได้ (Consistency of Data) การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะเป็นแฟ้มข้อมูล โดยที่ข้อมูลเป็นเรื่องเดียวกันอาจมีอยู่ในหลายแฟ้ม ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งของข้อมูลขึ้นได้ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการแก้ไขข้อมูลที่แฟ้มแห่งหนึ่ง แต่มิได้แก้ไขข้อมูลเรื่องเดียวกันที่อยู่ในไฟล์อื่น ๆ ทำให้ข้อมูลนั้น ๆ แตกต่างกันได้
3. จำกัดความผิดพลาดในการป้อนข้อมูลให้น้อยที่สุด (Data Integrity) บางครั้งความผิดพลาดของข้อมูล อาจเกิดขึ้นจากการป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเข้าสู่ระบบดังนั้นในระบบจัดการ ฐานข้อมูล จึงจำเป็นที่จะต้องกำหนดกฎเกณฑ์ในการรับข้อมูลจากการป้อนของผู้ใช้ เพื่อรักษาความถูกต้องของข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
4. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ (Sharing of Data) เนื่องจากระบบฐานข้อมูลเป็นการจัดเก็บข้อมูลไว้ในที่เดียวกัน เมื่อผู้ใช้ต้องการเรียกใช้ข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลที่แตกต่างกันก็จะสามารถทำได้โดยง่าย
5. สามารถกำหนดความเป็นมาตรฐานเดียวกันได้ (Enforcement of Standard) การเก็บข้อมูลไว้ด้วยกัน จะสามารถกำหนดและควบคุมความมีมาตรฐานของข้อมูลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้ ดังนั้น จึงทำให้ระบบเกิดความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น
6. สามารถกำหนดระบบความปลอดภัยของข้อมูลได้ (Security and Privacy Control) เนื่องจากระบบ จะทำการกำหนดระดับของผู้ใช้แต่ละคนตามลำดับความสำคัญของผู้ใช้ ดังนั้น จึงสามารถที่จะควบคุมและดูแลความปลอดภัย ของข้อมูลภายในระบบได้ดียิ่งขึ้น
7. ข้อมูลมีความเป็นอิสระ (Data Independence) ระบบฐานข้อมูลจะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงกับโปรแกรมประยุกต์ที่ทำงานกับข้อมูลโดยตรงการแก้ไขข้อมูล เช่น ต้องการเปลี่ยนรหัสไปรษณีย์จากเลข 4 หลัก เป็นเลข 5 หลัก ก็จะทำการแก้ไขข้อมูลที่เป็นรหัสไปรษณีย์ เฉพาะโปรแกรมที่เรียกใช้รหัสไปรษณีย์เท่านั้น ส่วนโปรแกรมอื่นจะเป็นอิสระต่อการเปลี่ยนแปลงนี้
ข้อเสียของการประมวลผลด้วยระบบฐานข้อมูล
1. ขั้นตอนการออกแบบดำเนินการและการบำรุงรักษามีต้นทุนที่สูง เนื่องจากระบบต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ในการออกแบบระบบ ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน Hardware และ Software รวมไปถึงราคาอุปกรณ์ที่ใช้มีราคาค่อนข้างสูง
2. ระบบมีความซับซ้อนจำเป็นต้องมีผู้ดูแลระบบที่ถูกฝึกมาอย่างดี เพื่อรองรับสถานการณ์ที่ผิดพลาดอันอาจจะเกิดขึ้นได้
3. การเสี่ยงต่อการหยุดชะงักของระบบ เนื่องจากข้อมูลอาจถูกจัดเก็บแบบรวมศูนย์ (Centralized Database System) ความล้มเหลวของการทำงานบางส่วนอาจทำให้ระบบฐานข้อมูลโดยรวมหยุดชะงักการทำงานได้
วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558
การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน
ผู้เล่าเรื่อง : นางสาวจันทิมา ตันติกุลวัฒนา
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการ
หน่วยงาน : กลุ่มงานวิชาการด้านการคลังการบัญชี สำนักงานคลังจังหวัดนนทบุรี
หลักสูตรฝึกอบรม : โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน”
การสัมมนาเรื่อง “การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน”
การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน หมายถึง การช่วยชีวิตคนหัวใจหยุดเต้น หรือคนที่หยุดหายใจกระทันหันจากระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจล้มเหลว
ลักษณะของผู้ป่วยที่ต้องทำการฟื้นคืนชีพ
1.หมดสติ ไม่รู้สึกตัว
2.ไม่หายใจ หรือหายใจเฮือก
ขั้นตอนการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานให้ผู้ป่วยอายุ 8 ปี ขึ้นไป
เมื่อท่านพบเห็นผู้ป่วยฉุกเฉินหมดสติให้ปฏิบัติดังนี้
1.ตรวจดูว่าผู้ป่วยรู้สึกตัวหรือไม่ โดยการใช้มือทั้ง 2 ข้างจับบริเวณไหล่ เขย่าให้แรงพอสมควรพร้อมเรียกผู้ป่วยดัง ๆ
2.หากผู้ป่วย ไม่ตอบสนองให้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ ผ่านหมายเลข 1669 ให้เร็วที่สุด
3.ตรวจดูว่าผู้ป่วยหายใจหรือไม่ หากไม่หายใจ หรือหายใจเฮือก ให้ปฏิบัติดังนี้
3.1กดนวดหัวใจ
1)จัดให้ผู้ป่วยนอนหงายบนพื้นแข็งโดยผู้ช่วยเหลือนั่งคุกเข่าอยู่ทางด้านข้างกายของผู้ป่วย
2)างส้นมือลงไป ขนานกับแนวกึ่งกลางหน้าอก (กึ่งกลางระหว่างหัวนมทั้งสองข้างของผู้ป่วย) แล้วนำมืออีกข้างมาประกบ ประสานนิ้วแลบะทำการล็อคนิว กระดกข้อมือขึ้น โดยให้ส้นมือสัมผัสกับหน้าอก
เท่านั้น โน้มตัวมาให้แนวแขนตั้งฉากกับหน้าอกของผู้ป่วย
3)แขนตรงและตึง ออกแรงกดลงไปโดยใช้แรงจากหัวไหล่ จุดหมุนอยู่ตรงสะโพก กดให้หน้าอกยุบลงไปอย่างน้อย 5 เซนติเมตร โดยให้ส้นมือสัมผัสกับหน้าอกผู้ป่วยตลอดการนวดหัวใจ ส้นมือไม่หลุดออกจากหน้าอกผู้ป่วย ด้วยความเร็ว 100 ครั้ง/นาที หรืออัตราความเร็วตามจังหวะเพลง “สุขกันเถอะเรา”
3.2เปิดทางเดินหายใจ
1)ถ้าผู้ช่วยเหลือมีเพียงคนเดียว ให้ทำการกดหน้าอกอย่างเดียวในอัตราอย่างน้อย 100 ครั้ง/นาที จนกว่าทีมกู้ชีพ 1669 จะมาถึง
2)ถ้ามีผู้ช่วยเหลือมากกว่า 1 คน ให้ทำการเปิดทางเดินหายใจ โดยการกดหน้าผากและเชยคาง
3.3ช่วยการหายใจ
ถ้าผู้ป่วยเป็นญาติสนิทและมั่นใจว่าไม่เป็นโรคติดต่อใด ๆ ทำการช่วยหายใจโดยการเป่าปากผู้ป่วย 2 ครั้ง โดยวางปากผู้ช่วยเหลือครอบปากผู้ป่วยให้แนบสนิท บีบจมูกผู้ป่วยให้แนบสนิทและเป่าลมเข้าไป โดยการเป่าแต่ละครั้งให้ยาว ประมาณ 1-2 วินาที จนเห็นหน้าอกผู้ป่วยยกตัวขึ้นพร้อมกับปล่อยให้หน้าอกผู้ป่วยยุบลงมาอยู่ตำแหน่งเดิมก่อนที่จะเป่าครั้งที่ 2 หากไม่มั่นใจให้กดหน้าอกเพียงอย่างเดียวต่อไปเรื่อย ๆ หรือสลับกับผู้ช่วยเหลือคนอื่นเมื่อครบ 2 นาที
สรุปการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน
1)กรณีผู้ช่วยเหลืออยู่คนเดียว ให้กดหัวใจ 100 ครั้ง/นาที หรือตามจังหวะเพลง “สุขกันเถอะเรา”ต่อเนื่องจนกว่าทีมช่วยเหลือจะมาถึง
2)กรณีผู้ช่วยเหลือมากกว่า 1 คน ในหนึ่งรอบของการช่วยฟื้นคืนชีพ คือ การปฏิบัติการกดนวดหัวใจ
30 ครั้ง และช่วยหายใจจำนวน 2 ครั้ง และทำอย่างต่อเนื่องกันทั้งหมด 5 รอบ (ใช้เวลาประมาณ 2 นาที) ทำสลับกันไปจนกว่าจะพบว่าผู้ป่วยมีอาการไอ/ขยับตัว/มีการหายใจ หรือทีมช่วยเหลือมาถึง เราจึงหยุดได้
3)การฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานนั้น จะได้ผลดีต้องกระทำภายใน 4 นาที หลังผู้ป่วยหยุดหายใจ
4)สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี ให้รีบโทรแจ้ง 1669 และปฏิบัติตามคำแนะนำ
ห่วงโซ่ของการรอดชีวิต
1)พบเหตุเร็ว ประเมินอาการว่าไม่รู้สึกตัว แจ้งเหตุทางหมายเลข 1669
2)หากไม่ตอบสนอง ปั๊มหัวใจได้ถูกต้องรวดเร็ว
3)ทีมฉุกเฉินขั้นสูงกว่ามาถึงเร็ว ให้การช่วยเหลือได้เร็ว และนำส่งโรงพยาบาลได้เร็วและเหมาะสม
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการ
หน่วยงาน : กลุ่มงานวิชาการด้านการคลังการบัญชี สำนักงานคลังจังหวัดนนทบุรี
หลักสูตรฝึกอบรม : โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน”
การสัมมนาเรื่อง “การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน”
การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน หมายถึง การช่วยชีวิตคนหัวใจหยุดเต้น หรือคนที่หยุดหายใจกระทันหันจากระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจล้มเหลว
ลักษณะของผู้ป่วยที่ต้องทำการฟื้นคืนชีพ
1.หมดสติ ไม่รู้สึกตัว
2.ไม่หายใจ หรือหายใจเฮือก
ขั้นตอนการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานให้ผู้ป่วยอายุ 8 ปี ขึ้นไป
เมื่อท่านพบเห็นผู้ป่วยฉุกเฉินหมดสติให้ปฏิบัติดังนี้
1.ตรวจดูว่าผู้ป่วยรู้สึกตัวหรือไม่ โดยการใช้มือทั้ง 2 ข้างจับบริเวณไหล่ เขย่าให้แรงพอสมควรพร้อมเรียกผู้ป่วยดัง ๆ
2.หากผู้ป่วย ไม่ตอบสนองให้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ ผ่านหมายเลข 1669 ให้เร็วที่สุด
3.ตรวจดูว่าผู้ป่วยหายใจหรือไม่ หากไม่หายใจ หรือหายใจเฮือก ให้ปฏิบัติดังนี้
3.1กดนวดหัวใจ
1)จัดให้ผู้ป่วยนอนหงายบนพื้นแข็งโดยผู้ช่วยเหลือนั่งคุกเข่าอยู่ทางด้านข้างกายของผู้ป่วย
2)างส้นมือลงไป ขนานกับแนวกึ่งกลางหน้าอก (กึ่งกลางระหว่างหัวนมทั้งสองข้างของผู้ป่วย) แล้วนำมืออีกข้างมาประกบ ประสานนิ้วแลบะทำการล็อคนิว กระดกข้อมือขึ้น โดยให้ส้นมือสัมผัสกับหน้าอก
เท่านั้น โน้มตัวมาให้แนวแขนตั้งฉากกับหน้าอกของผู้ป่วย
3)แขนตรงและตึง ออกแรงกดลงไปโดยใช้แรงจากหัวไหล่ จุดหมุนอยู่ตรงสะโพก กดให้หน้าอกยุบลงไปอย่างน้อย 5 เซนติเมตร โดยให้ส้นมือสัมผัสกับหน้าอกผู้ป่วยตลอดการนวดหัวใจ ส้นมือไม่หลุดออกจากหน้าอกผู้ป่วย ด้วยความเร็ว 100 ครั้ง/นาที หรืออัตราความเร็วตามจังหวะเพลง “สุขกันเถอะเรา”
3.2เปิดทางเดินหายใจ
1)ถ้าผู้ช่วยเหลือมีเพียงคนเดียว ให้ทำการกดหน้าอกอย่างเดียวในอัตราอย่างน้อย 100 ครั้ง/นาที จนกว่าทีมกู้ชีพ 1669 จะมาถึง
2)ถ้ามีผู้ช่วยเหลือมากกว่า 1 คน ให้ทำการเปิดทางเดินหายใจ โดยการกดหน้าผากและเชยคาง
3.3ช่วยการหายใจ
ถ้าผู้ป่วยเป็นญาติสนิทและมั่นใจว่าไม่เป็นโรคติดต่อใด ๆ ทำการช่วยหายใจโดยการเป่าปากผู้ป่วย 2 ครั้ง โดยวางปากผู้ช่วยเหลือครอบปากผู้ป่วยให้แนบสนิท บีบจมูกผู้ป่วยให้แนบสนิทและเป่าลมเข้าไป โดยการเป่าแต่ละครั้งให้ยาว ประมาณ 1-2 วินาที จนเห็นหน้าอกผู้ป่วยยกตัวขึ้นพร้อมกับปล่อยให้หน้าอกผู้ป่วยยุบลงมาอยู่ตำแหน่งเดิมก่อนที่จะเป่าครั้งที่ 2 หากไม่มั่นใจให้กดหน้าอกเพียงอย่างเดียวต่อไปเรื่อย ๆ หรือสลับกับผู้ช่วยเหลือคนอื่นเมื่อครบ 2 นาที
สรุปการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน
1)กรณีผู้ช่วยเหลืออยู่คนเดียว ให้กดหัวใจ 100 ครั้ง/นาที หรือตามจังหวะเพลง “สุขกันเถอะเรา”ต่อเนื่องจนกว่าทีมช่วยเหลือจะมาถึง
2)กรณีผู้ช่วยเหลือมากกว่า 1 คน ในหนึ่งรอบของการช่วยฟื้นคืนชีพ คือ การปฏิบัติการกดนวดหัวใจ
30 ครั้ง และช่วยหายใจจำนวน 2 ครั้ง และทำอย่างต่อเนื่องกันทั้งหมด 5 รอบ (ใช้เวลาประมาณ 2 นาที) ทำสลับกันไปจนกว่าจะพบว่าผู้ป่วยมีอาการไอ/ขยับตัว/มีการหายใจ หรือทีมช่วยเหลือมาถึง เราจึงหยุดได้
3)การฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานนั้น จะได้ผลดีต้องกระทำภายใน 4 นาที หลังผู้ป่วยหยุดหายใจ
4)สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี ให้รีบโทรแจ้ง 1669 และปฏิบัติตามคำแนะนำ
ห่วงโซ่ของการรอดชีวิต
1)พบเหตุเร็ว ประเมินอาการว่าไม่รู้สึกตัว แจ้งเหตุทางหมายเลข 1669
2)หากไม่ตอบสนอง ปั๊มหัวใจได้ถูกต้องรวดเร็ว
3)ทีมฉุกเฉินขั้นสูงกว่ามาถึงเร็ว ให้การช่วยเหลือได้เร็ว และนำส่งโรงพยาบาลได้เร็วและเหมาะสม
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ข้าราชการยุคใหม่ที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
ผู้เล่าเรื่อง : นางสาวนงลักษณ์ พิศวงศ์
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ
หน่วยงาน : กองแผนงาน กรมบัญชีกลาง
ความรู้ที่แบ่งปันในเรื่อง : ข้าราชการยุคใหม่ที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
คนที่โลกยุคใหม่ต้องการ
- มีความเป็นเลิศ
- มีความเป็นมืออาชีพ
- ปรับตัวได้ตลอดเวลา
- คิดเป็นแก้ปัญหาเป็น
ค่านิยมสร้างสรรค์ 5 ประการสำหรับข้าราชการยุคใหม่
1.กล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง
- ยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม
- ยึดหลักวิชา จรรยาวิชาชีพ
- ไม่โอนตามอิทธิพลใดๆ
2.ซื่อสัตย์รับผิดชอบ
- ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
- แยกเรื่องส่วนตัวจากหน้าที่การงาน
- รับผิดชอบต่อ ประชาชน ผลการปฏิบัติงานขององค์กรและการพัฒนาระบบราชการ
3.โปร่งใสตรวจสอบได้
- ปรับปรุงกลไกการทำงานขององค์กรให้โปร่งใส
- มีวิธีการให้ประชาชนตรวจสอบได้
- เปิดเผยข้อมูลข่าวสารภายในขอบเขตกฎหมาย
4.ไม่เลือกปฏิบัติ
- บริการประชาชนด้วยความเสมอภาค สะดวก รวดเร็ว ประหยัด ถูกต้อง
- ปฏิบัติต่อผู้รับบริการด้วยความมีน้ำใจ เมตตา เอื้อเฟื้อ
5.มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน
- ทำงานให้เสร็จตามกำหนด เกิดผลดีต่อหน่วยงานและส่วนรวม
- ใช้ทรัพยากรของราชการให้คุ้มค่าเสมือนใช้ทรัพยากรของตนเอง
- ทำงานโดยยึดผลลัพธ์ มีการวัดผลและค่าใช้จ่าย
ค่านิยมสร้างสรรค์ จะนำไปสู่...
- พฤติกรรมในการทำงานเพื่อประชาชนและส่วนรวม
- กล้าตัดสินใจกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
- ไม่ถูกชี้นำในการตัดสินใจและการทำงาน
- มีความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานและการตัดสินใจ
- รักษาเกียรติของอาชีพตนเอง
- โปร่งใสและไม่เลือกปฏิบัติ
- มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน
- ระบบงานของรัฐได้รับความศรัทธาและเชื่อถือจากประชาชน
ความรู้ที่แบ่งปันในเรื่อง : การพัฒนาบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพ คือ ลักษณะท่าทางซึ่งสามารถแสดงออกมาได้ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความรู้สึก
นึกคิดที่สะท้อนออกมาให้ผู้อื่นเห็นและเกิดความประทับใจ ฉะนั้น การที่บุคคลจะได้รับการยอมรับนับถือ การสนับสนุน ความไว้วางใจ และความประทับใจจากผู้อื่นนั้น ก็ควรที่จะแสดงบุคลิกภาพที่ดีและเหมาะสมให้ผู้อื่นเห็น เพราะบุคลิกภาพมีอิทธิพลต่อความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง
การวางท่าทาง
ประโยชน์ของการวางท่าทางที่ถูกต้อง
1.สุขภาพร่างกายทั่วไปดีขึ้น
2.การทรงตัวดี
3.ลดการปวดเมื่อยต่างๆ
4.เสียงดีขึ้นเพราะกระบังลมทำงานดี
5.การเคลื่อนไหวนิ่มนวล
6.สง่างาม
7.ลักษณะท่าทางมีความมั่นใจ
8.สะดุดตา
ข้อเสียของการวางท่าทางที่ไม่ถูกต้อง
1. สุขภาพไม่ดีมีอาการดังนี้
- การย่อยอาหารไม่ดี- ปวดหลัง
- การหมุนเวียนโลหิตไม่ดี
- เหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย
2. ขาดการวางตัวที่ดี
3. ขาดความมั่นใจในตัวเอง
ตัวท่านละเป็นอย่างไร
1.ศีรษะยื่นออกมาหรือเปล่า
2.ไหล่ห่อหรือก้มงอไปข้างหน้าหรือเปล่า
3.ทรวงอกห่อหน้าอกโค้งงอเข้าไปหรือเปล่า
4.หน้าท้องยื่นออกมาหรือเปล่า
5.ก้นยื่นออกไปข้างหลังหรือไม่
6.เข่าทั้งสองตึงและอยู่ถูกที่หรือไม่
7.เท้ายื่นชี้ไปข้างในหรือข้างนอก
วิธีการตรวจการวางท่าทาง
1.ยืนหันหน้าเข้าผนังให้ชิด
2.วางมือบนหน้าขา (หรือเดินเข้าหาผนังช้าๆ)
3.ถ้าหน้าอกสัมผัสผนังก่อน การวางท่าทางดี
4.ถ้าท้องสัมผัสก่อน = ต้องปรับปรุง
5.ถ้าศีรษะสัมผัสก่อน = ต้องปรับปรุง
การวางตัวและการเดิน
1.เท้า ชี้ตรงไปข้างหน้าห่างกัน 2-3 นิ้ว น้ำหนักตัวอยู่ศูนย์กลาง
2.เข่า ตึงหรืออาจหย่อนเล็กน้อย แต่อย่างอเข่า
3.หน้าท้อง แขม่วไว้
4.เอว ดึงขึ้นไปให้พ้นจากสะโพก
5.ไหล่ ตรง
6.คอ ยืดตรง
7.คาง ให้คางขนานกับพื้น
จุดสำคัญเกี่ยวกับการวางมือ
1.มือทั้งสองปล่อยตามสบาย
2.การเคลื่อนไหวจะใช้ข้อมือและช่วงต่ำกว่าศอก
3.พยายามให้เห็นด้านข้างของมือ อย่าบิดมือ
4.การก้าวเดินและแกว่งแขนต้องประสานกัน
5.ลักษณะมือไม่ควรจะแข็งหรือแกว่งไปมามากเกินไป
มารยาทการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟต์หรือชนิดช่วยตนเอง
1.ควรตักแบ่งอาหารให้พอดีกับความต้องการของตนเองอย่าโลภตักอาหารไปจนทานไม่หมด
2.อย่าตักอาหารโดยคุ้ยเขี่ยทำลายความสวยงามที่เขาตกแต่งไว้
3.เมื่อรับประทานอาหารเสร็จวางไว้ที่วางจานใช้แล้วหรือส่งให้บริกร
ความรู้ที่แบ่งปันในเรื่อง : จิตบริการในการทำงานภาครัฐ
จิตบริการ (Service mind) เป็นศัพท์ที่ได้ยินบ่อยๆ มาจากคำ 2 คำ คือ Service หมายถึง การบริการ และ mind หมายถึง จิตใจ รวมแล้วหมายถึง จิตใจของการเป็นผู้ให้บริการ ซึ่งแสดงออกได้หลายรูปแบบเพื่อให้ผู้รับบริการประทับใจ เช่น การบริการด้วยรอยยิ้มและคำพูดที่เหมาะสมเพื่อสร้างความไว้วางใจ การแสดงออกถึงความพร้อมและความเต็มใจในการให้บริการ ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ กริยาท่าทางและน้ำเสียงในขณะให้บริการเป็นอย่างดี การเก็บอารมณ์ได้ดีในขณะรับฟังข้อร้องเรียนในเรื่องต่างๆ ความมีน้ำใจที่เสนอแนะหรือ ให้ข้อมูลในเรื่องอื่น ๆ ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการ
ทัศนคติและวิธีคิดในการทำงานบริการ
1. คิดมองโลกและผู้อื่นเชิงบวก
2. ทัศนคติแบบสามารถ เชื่อว่าทำได้
3. คิดและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเหมาะสม ทุกคนมีจุดแข็ง จุดอ่อน มองตามความเป็นจริง
เราจะให้คนอื่นได้อย่างไร
- ให้ด้วยความตั้งใจ สนใจ
- ให้ด้วยกิริยา ท่าทาง
- ให้ด้วยคำพูด
- ให้ด้วยการกระทำ
สิ่งที่ผู้รับบริการคาดหวัง
- ความถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม
- โปร่งใส ประทับใจ ตรวจสอบได้
- บริการของผู้ให้ ต้องนั่งในใจของผู้รับ
- บริการทุกระดับ ตามลำดับก่อนหลัง
- ยิ้มงาม ถามไถ่ มีธุระเรื่องใด เต็มใจบริการ
สร้างน้ำใจด้วยการมองและยิ้ม
- มองทุกคนที่พบด้วยสายตาที่เป็นมิตร
- ยิ้มให้ทุกคนที่พบกัน
- ทำความรู้จักกับคนที่ไม่รู้จัก
- มองคนในแง่ดี
- คนเราเป็นมิตรกันได้ แม้ความคิดเห็นจะต่างกัน
สร้างน้ำใจด้วยการพูดทักทาย
- ทักทายกับคนอื่น เมื่อได้พบกัน
“กล่าวคำสวัสดี ยกมือไหว้ ยิ้มหรือก้มหัวตามความเหมาะสม เรียกชื่อผู้ที่เราติดต่อด้วยทุกครั้ง”
-ทักทาย พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน
“คิดเป็นทีม รู้สึกเป็นทีม ทำงานเป็นทีม”
- ใช้คำพูดให้ติดปาก คือ ขอบคุณ ขอโทษ
- พูดด้วยคำสุภาพ ไพเราะอ่อนหวาน
สร้างน้ำใจด้วยการฟัง
- ตั้งใจฟังคนอื่นพูด
- การฟังที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้เราได้รับรู้สิ่งนั้น โดยกระตุ้นให้ลูกค้าพูด เราทำหน้าที่ฟัง
- มนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ต้องมีการสื่อสารกัน 2 ทาง เป็นเรื่องของการ “ให้” และ “รับ” เป็นเรื่องของ “การกระทำ” และ “สนองตอบ”
-ถ้าไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามชอบอะไร? ลูกค้าชอบอะไร? ต้องการอะไร? แล้วเราจะสนองตอบลูกค้าได้อย่างไร?
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ
หน่วยงาน : กองแผนงาน กรมบัญชีกลาง
ความรู้ที่แบ่งปันในเรื่อง : ข้าราชการยุคใหม่ที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
- มีความเป็นเลิศ
- มีความเป็นมืออาชีพ
- ปรับตัวได้ตลอดเวลา
- คิดเป็นแก้ปัญหาเป็น
ค่านิยมสร้างสรรค์ 5 ประการสำหรับข้าราชการยุคใหม่
1.กล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง
- ยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม
- ยึดหลักวิชา จรรยาวิชาชีพ
- ไม่โอนตามอิทธิพลใดๆ
2.ซื่อสัตย์รับผิดชอบ
- ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
- แยกเรื่องส่วนตัวจากหน้าที่การงาน
- รับผิดชอบต่อ ประชาชน ผลการปฏิบัติงานขององค์กรและการพัฒนาระบบราชการ
3.โปร่งใสตรวจสอบได้
- ปรับปรุงกลไกการทำงานขององค์กรให้โปร่งใส
- มีวิธีการให้ประชาชนตรวจสอบได้
- เปิดเผยข้อมูลข่าวสารภายในขอบเขตกฎหมาย
4.ไม่เลือกปฏิบัติ
- บริการประชาชนด้วยความเสมอภาค สะดวก รวดเร็ว ประหยัด ถูกต้อง
- ปฏิบัติต่อผู้รับบริการด้วยความมีน้ำใจ เมตตา เอื้อเฟื้อ
5.มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน
- ทำงานให้เสร็จตามกำหนด เกิดผลดีต่อหน่วยงานและส่วนรวม
- ใช้ทรัพยากรของราชการให้คุ้มค่าเสมือนใช้ทรัพยากรของตนเอง
- ทำงานโดยยึดผลลัพธ์ มีการวัดผลและค่าใช้จ่าย
ค่านิยมสร้างสรรค์ จะนำไปสู่...
- พฤติกรรมในการทำงานเพื่อประชาชนและส่วนรวม
- กล้าตัดสินใจกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
- ไม่ถูกชี้นำในการตัดสินใจและการทำงาน
- มีความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานและการตัดสินใจ
- รักษาเกียรติของอาชีพตนเอง
- โปร่งใสและไม่เลือกปฏิบัติ
- มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน
- ระบบงานของรัฐได้รับความศรัทธาและเชื่อถือจากประชาชน
ความรู้ที่แบ่งปันในเรื่อง : การพัฒนาบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพ คือ ลักษณะท่าทางซึ่งสามารถแสดงออกมาได้ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความรู้สึก
นึกคิดที่สะท้อนออกมาให้ผู้อื่นเห็นและเกิดความประทับใจ ฉะนั้น การที่บุคคลจะได้รับการยอมรับนับถือ การสนับสนุน ความไว้วางใจ และความประทับใจจากผู้อื่นนั้น ก็ควรที่จะแสดงบุคลิกภาพที่ดีและเหมาะสมให้ผู้อื่นเห็น เพราะบุคลิกภาพมีอิทธิพลต่อความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง
การวางท่าทาง
ประโยชน์ของการวางท่าทางที่ถูกต้อง
1.สุขภาพร่างกายทั่วไปดีขึ้น
2.การทรงตัวดี
3.ลดการปวดเมื่อยต่างๆ
4.เสียงดีขึ้นเพราะกระบังลมทำงานดี
5.การเคลื่อนไหวนิ่มนวล
6.สง่างาม
7.ลักษณะท่าทางมีความมั่นใจ
8.สะดุดตา
ข้อเสียของการวางท่าทางที่ไม่ถูกต้อง
1. สุขภาพไม่ดีมีอาการดังนี้
- การย่อยอาหารไม่ดี- ปวดหลัง
- การหมุนเวียนโลหิตไม่ดี
- เหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย
2. ขาดการวางตัวที่ดี
3. ขาดความมั่นใจในตัวเอง
ตัวท่านละเป็นอย่างไร
1.ศีรษะยื่นออกมาหรือเปล่า
2.ไหล่ห่อหรือก้มงอไปข้างหน้าหรือเปล่า
3.ทรวงอกห่อหน้าอกโค้งงอเข้าไปหรือเปล่า
4.หน้าท้องยื่นออกมาหรือเปล่า
5.ก้นยื่นออกไปข้างหลังหรือไม่
6.เข่าทั้งสองตึงและอยู่ถูกที่หรือไม่
7.เท้ายื่นชี้ไปข้างในหรือข้างนอก
วิธีการตรวจการวางท่าทาง
1.ยืนหันหน้าเข้าผนังให้ชิด
2.วางมือบนหน้าขา (หรือเดินเข้าหาผนังช้าๆ)
3.ถ้าหน้าอกสัมผัสผนังก่อน การวางท่าทางดี
4.ถ้าท้องสัมผัสก่อน = ต้องปรับปรุง
5.ถ้าศีรษะสัมผัสก่อน = ต้องปรับปรุง
การวางตัวและการเดิน
1.เท้า ชี้ตรงไปข้างหน้าห่างกัน 2-3 นิ้ว น้ำหนักตัวอยู่ศูนย์กลาง
2.เข่า ตึงหรืออาจหย่อนเล็กน้อย แต่อย่างอเข่า
3.หน้าท้อง แขม่วไว้
4.เอว ดึงขึ้นไปให้พ้นจากสะโพก
5.ไหล่ ตรง
6.คอ ยืดตรง
7.คาง ให้คางขนานกับพื้น
จุดสำคัญเกี่ยวกับการวางมือ
1.มือทั้งสองปล่อยตามสบาย
2.การเคลื่อนไหวจะใช้ข้อมือและช่วงต่ำกว่าศอก
3.พยายามให้เห็นด้านข้างของมือ อย่าบิดมือ
4.การก้าวเดินและแกว่งแขนต้องประสานกัน
5.ลักษณะมือไม่ควรจะแข็งหรือแกว่งไปมามากเกินไป
มารยาทการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟต์หรือชนิดช่วยตนเอง
1.ควรตักแบ่งอาหารให้พอดีกับความต้องการของตนเองอย่าโลภตักอาหารไปจนทานไม่หมด
2.อย่าตักอาหารโดยคุ้ยเขี่ยทำลายความสวยงามที่เขาตกแต่งไว้
3.เมื่อรับประทานอาหารเสร็จวางไว้ที่วางจานใช้แล้วหรือส่งให้บริกร
ความรู้ที่แบ่งปันในเรื่อง : จิตบริการในการทำงานภาครัฐ
จิตบริการ (Service mind) เป็นศัพท์ที่ได้ยินบ่อยๆ มาจากคำ 2 คำ คือ Service หมายถึง การบริการ และ mind หมายถึง จิตใจ รวมแล้วหมายถึง จิตใจของการเป็นผู้ให้บริการ ซึ่งแสดงออกได้หลายรูปแบบเพื่อให้ผู้รับบริการประทับใจ เช่น การบริการด้วยรอยยิ้มและคำพูดที่เหมาะสมเพื่อสร้างความไว้วางใจ การแสดงออกถึงความพร้อมและความเต็มใจในการให้บริการ ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ กริยาท่าทางและน้ำเสียงในขณะให้บริการเป็นอย่างดี การเก็บอารมณ์ได้ดีในขณะรับฟังข้อร้องเรียนในเรื่องต่างๆ ความมีน้ำใจที่เสนอแนะหรือ ให้ข้อมูลในเรื่องอื่น ๆ ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการ
ทัศนคติและวิธีคิดในการทำงานบริการ
1. คิดมองโลกและผู้อื่นเชิงบวก
2. ทัศนคติแบบสามารถ เชื่อว่าทำได้
3. คิดและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเหมาะสม ทุกคนมีจุดแข็ง จุดอ่อน มองตามความเป็นจริง
เราจะให้คนอื่นได้อย่างไร
- ให้ด้วยความตั้งใจ สนใจ
- ให้ด้วยกิริยา ท่าทาง
- ให้ด้วยคำพูด
- ให้ด้วยการกระทำ
สิ่งที่ผู้รับบริการคาดหวัง
- ความถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม
- โปร่งใส ประทับใจ ตรวจสอบได้
- บริการของผู้ให้ ต้องนั่งในใจของผู้รับ
- บริการทุกระดับ ตามลำดับก่อนหลัง
- ยิ้มงาม ถามไถ่ มีธุระเรื่องใด เต็มใจบริการ
สร้างน้ำใจด้วยการมองและยิ้ม
- มองทุกคนที่พบด้วยสายตาที่เป็นมิตร
- ยิ้มให้ทุกคนที่พบกัน
- ทำความรู้จักกับคนที่ไม่รู้จัก
- มองคนในแง่ดี
- คนเราเป็นมิตรกันได้ แม้ความคิดเห็นจะต่างกัน
สร้างน้ำใจด้วยการพูดทักทาย
- ทักทายกับคนอื่น เมื่อได้พบกัน
“กล่าวคำสวัสดี ยกมือไหว้ ยิ้มหรือก้มหัวตามความเหมาะสม เรียกชื่อผู้ที่เราติดต่อด้วยทุกครั้ง”
-ทักทาย พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน
“คิดเป็นทีม รู้สึกเป็นทีม ทำงานเป็นทีม”
- ใช้คำพูดให้ติดปาก คือ ขอบคุณ ขอโทษ
- พูดด้วยคำสุภาพ ไพเราะอ่อนหวาน
สร้างน้ำใจด้วยการฟัง
- ตั้งใจฟังคนอื่นพูด
- การฟังที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้เราได้รับรู้สิ่งนั้น โดยกระตุ้นให้ลูกค้าพูด เราทำหน้าที่ฟัง
- มนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ต้องมีการสื่อสารกัน 2 ทาง เป็นเรื่องของการ “ให้” และ “รับ” เป็นเรื่องของ “การกระทำ” และ “สนองตอบ”
-ถ้าไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามชอบอะไร? ลูกค้าชอบอะไร? ต้องการอะไร? แล้วเราจะสนองตอบลูกค้าได้อย่างไร?
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
งานได้ผล คนเป็นสุข
ผู้เล่าเรื่อง : นางสาวมนพร เบญจพร..
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
หน่วยงาน : สำนักมาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการ
ความรู้ที่แบ่งปันในเรื่อง : งานได้ผล คนเป็นสุข (โดย รศ.นงลักษณ์ สุทธิวัฒนพันธ์)
หลักคิดและแนวทางปฏิบัติในการทำงานให้ได้ผลและคนทำงานมีความสุข แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ประกอบด้วย
๑. งานได้ผล/ความสำเร็จในการทำงาน
การทำงานให้ได้ผล/ประสบความสำเร็จนั้น ต้องอาศัยหลักการหรือกฎแห่งความสำเร็จ ๑๕ ประการ ได้แก่
(๑) มีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน
(๒) มีความเชื่อมั่นในตนเองว่าจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้
(๓) มีนิสัยประหยัดอดออม
(๔) มีความคิดริเริ่มและมีความเป็นผู้นำ
(๕) มีจินตนาการ
(๖) มีความกระตือรือร้น
(๗) มีความฉลาดทางอารมณ์ ควบคุมตนเองได้
(๘) นิสัยทำงานเกินเงินเดือน
(๙) บุคลิกภาพต้องตาต้องใจ
(๑๐) ความคิดถูกต้องเที่ยงตรง
(๑๑) มีความมุ่งมั่น ใจจดจ่อกับสิ่งที่ทำ
(๑๒) มีความสามัคคี
(๑๓) การเอาประโยชน์จากความล้มเหลว ผิดพลาด
(๑๔) ความใจกว้าง ยอมรับผู้อื่น
(๑๕) การใช้กฎทองคำ (คือ จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน)
๒. จริยธรรมในการปฏิบัติราชการ/การทำงาน
จริยธรรม หมายถึง แนวทางความประพฤติและปฏิบัติเพื่อความถูกต้องดีงามในสังคม ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงกับศีลธรรมอันเป็นคำสอนของศาสนาที่สังคมนั้นๆ มีอยู่ ส่วนคุณธรรม เป็นมาตรฐานค่านิยมของสังคมที่ให้คุณค่าเป็นสิ่งดีงาม ซึ่งมักเกี่ยวกับความเชื่อในคำสอนของศาสนา
จริยธรรมของข้าราชการคือการทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นผู้รักษาประโยชน์ของส่วนรวม
โดยแบ่งออกเป็น ๒ ประเด็น ได้แก่
(๑) จริยธรรมต่อส่วนรวมในแง่สถาบัน คือ การมุ่งทำงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ดังนั้น พฤติกรรมในการทำงานจึงแยกออกเป็น
สัมพันธภาพกับสังคมภายนอก
- ตอบสนองความต้องการของประชาชน
- อิทธิพลของสังคมที่มีต่อมาตรฐานศีลธรรมของข้าราชการ
สัมพันธภาพในวงการบริหารราชการ
- การปกครองบังคับบัญชาแบบประชาธิปไตย
- พฤติกรรมการบริหารงาน
(๒) จริยธรรมต่อส่วนรวมในแง่บุคคล พิจารณาได้ ๒ ประเด็น
- ความคิดของบุคคลเกี่ยวกับความเข้าใจและทัศนคติในเรื่องศีลธรรมโดยทั่วไปของข้าราชการแต่ละคน ทัศนคติที่มีต่องานของรัฐในรูปของการยอมรับความสำคัญเรื่องส่วนรวม การยอมรับนโยบายของรัฐที่กำหนดขึ้นแล้ว การยอมรับแบบแผนการดำเนินงานของรัฐ ทัศนคติที่ดีต่องานของรัฐ โดยส่วนร่วมและหน้าที่เฉพาะในส่วนของตน
- จิตใจของบุคคล หมายถึง คุณธรรมประจำใจ คุณความดีในใจ จะเป็นแนวทางให้การปฏิบัติงานข้าราชการดำเนินไปอย่างมีคุณธรรม เช่น กล้าตัดสินใจเพื่อประโยชน์ส่วนรวมแทนการรักษาประโยชน์ส่วนตนหรือกลุ่ม
๓. การทำงานอย่างมีความสุข
คนเราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ถ้ามีความสุขและความพอใจในการทำงาน แต่บางครั้งอาจต้องทำงานที่ไม่ชอบ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็จงชอบงานที่ต้องรับผิดชอบ เพราะผลงานเป็นตัวประเมินหรือตัวชี้วัดถึงความรับผิดชอบและความสามารถของผู้ปฏิบัติงานนั้น
ข้อคิดและวิธีปฏิบัติของคนทำงาน เพื่อให้งานได้ผลคนเป็นสุข มีดังนี้
(๑) เส้นทางสู่ความสุขในชีวิต ก่อนที่จะทำงานอย่างมีความสุข คนเราควรดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขด้วยวิธีคิดและการปฏิบัติตน ดังนี้
(๑.๑) จงเป็นตัวของตัวเอง อย่าเลียนแบบใคร
(๑.๒) ค้นหาตัวเองให้พบ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง และนำคุณสมบัติที่ดีในตัวมาใช้ให้เป็นประโยชน์
(๑.๓) สร้างนิสัยที่ดีงามในการทำงาน
(๑.๔) ขจัดความเบื่อหน่าย ความเครียด ความวิตกกังวล และความหงุดหงิด
(๑.๕) พักผ่อนให้เพียงพอ
(๑.๖) พอใจงานที่ทำและมีความสุข - สนุกกับงาน
(๒ เคล็ดลับสู่ความสุขและความสำเร็จในการทำงาน การทำงานให้มีความสุขและความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีเคล็ดลับดังต่อไปนี้
(๒.๑) มองโลกและมองคนในแง่ดี
(๒.๒) ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ
(๒.๓) ถือว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องสำคัญตลอดชีวิต
(๒.๔) เป็นคนใจกว้างยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง
(๒.๕) เป็นผู้ที่มีน้ำใจต่อผู้อื่น
(๒.๖) รู้จักถนอมน้ำใจและเกรงใจผู้อื่น
(๒.๗) เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย
(๒.๘) อย่าหัดเป็นคนคิดมากจนเกินการณ์
(๓) ความสุขในการทำงาน คนเราจะทำงานอย่างมีความสุข ถ้ามีความคิดดังต่อไปนี้
(๓.๑) มีความกระตือรือร้น
(๓.๒) มีเป้าหมายในการทำงานเต็มที่
(๓.๓) รักองค์กร
(๓.๔) ภาคภูมิใจในองค์กรที่ตนทำงานอยู่
(๓.๕) มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
(๓.๖) พอใจชีวิต
(๓.๗) ใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะ
วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558
การสัมมนาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กฎหมายศุลกากรที่ออกใช้บังคับใหม่
ผู้เล่าเรื่อง : นางสาวญาณิศา ศิริวัฒน์ และ นางสาวกรรณิการ์ พรรณวงศ์
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักวิชาการคลังปฏิบัติการ และ นิติกรปฏิบัติการ
หน่วยงาน : สำนักกฎหมาย
หลักสูตรฝึกอบรม : การสัมมนาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กฎหมายศุลกากรที่ออกใช้บังคับใหม่
หน่วยงานผู้จัด : กรมศุลกากร
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
เพื่อเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ภาครัฐและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนให้เข้าใจบทกฎหมายพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2557 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2557 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2557
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ : การสัมมนาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กฎหมายศุลกากรที่ออกใช้บังคับใหม่
กรมศุลกากรได้ยกร่างแก้ไขกฎหมายศุลกากรและร่างกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านขึ้นตอนทางนิติบัญญัติเรียบร้อยแล้ว จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2557 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2557 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2557 โดยเนื้อหากฎหมายทั้ง 3 ฉบับ มีสาระสำคัญดังนี้
พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2557
1. เพิ่มคำนิยามและบทบัญญัติของการผ่านแดน (Transit) และการถ่ายลำ (Transshipment) ไว้ในกฎหมายศุลกากร เพื่อให้มีกฎหมายชัดเจนเพียงพอและเป็นไปตามมาตรฐานสากล รองรับการเคลื่อนย้ายสินค้าเสรีภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 และเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมาตรฐานพิธีการศุลกากรที่เรียบง่ายและสอดคล้องกัน (อนุสัญญาเกียวโต) ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อปี 2548
2. เพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของศุลกากรในการตรวจสอบและตรวจค้นสินค้าถ่ายลำ/ผ่านแดน เพื่อมิให้ผู้ทุจริตใช้ช่องทางดังกล่าวในทางที่ผิด เช่น การนำสินค้าด้วยคุณภาพที่มิได้ผลิตในประเทศไทย แต่มีการแสดงเมืองกำเนิดเป็นไทย ส่งผ่านแดนประเทศไทยไปขายยังประเทศที่สาม โดยให้ศุลกากรสามารถตรวจสอบและตรวจค้นของถ่ายลำ/ผ่านแดน และดำเนินการกับของดังกล่าวได้ ซึ่งจะทำให้อุดช่องว่างมิให้มีการสวมเมืองกำเนินเป็นเท็จเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์หรือประโยชน์ทางการค้าบางอย่างลงได้
3. เพิ่มบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อให้ผู้นำของเข้าสามารถยื่นคำร้องขอให้มีคำวินิจฉัยล่วงหน้า (Advanced Binding Ruling) ในเรื่องพิกัดอัตราศุลกากร ราคา และถิ่นกำเนิดของสินค้า เพื่อให้เกิดความชัดเจน โปร่งใน คาดหมายและอธิบายได้ และการผ่านพิธีการรวดเร็วขึ้น เพราะสามารถลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่างความเห็นของเจ้าหน้าที่ศุลกากรกับผู้นำของเข้าขณะผ่านพิธีการนำเข้าลงได้
4. เพิ่มบทบัญญัติเพื่อให้อธิบดีสามารถจำกัดการใช้อำนาจทางศุลกากรเพื่อตรวจของและป้องกันการลักลอบหนีศุลกากรได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานด้านการตรวจของเฉพาะรายที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น มีกฎหมายรองรับ และไม่ถูกฟ้องร้องว่าเลือกปฏิบัติ กรณีที่ไม่มีการตรวจของของผู้ประกอบการบางราย
5. เพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง และให้มีบทลงโทษกับการกระทำ โดยทางอิเล็กทรอนิกส์ เหมือนการกระทำโดยใช้กระดาษ เพื่อให้เกิดความชัดเจน เนื่องจากการกระทำบางลักษณะเป็นการกระทำทางอาญา จึงต้องมีการกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนในกฎหมาย มิฉะนั้น อาจขัดรัฐธรรมนูญได้
พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2557
เพิ่มบทบัญญัติเพื่อให้ศุลกากรไปตรวจของในพื้นที่ควบคุมร่วมกันที่ตั้งอยู่นอกประเทศได้ ภายใต้ความตกลง Cross Border Transport Agreement หรือ GMS Agreement
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2557
1. แก้ไขบทบัญญัติในภาค 4 ประเภท 2 เพื่อให้การนำวัตถุดิบออกไปผ่านกระบวนการนอกประเทศ เพื่อลดต้นทุน (ด้านแรงงาน ฯลฯ) แล้วนำกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ได้รับยกเว้นอากร เฉพาะส่วนที่ได้นำออกไป (Outward Processing) ทั้งนี้ ตามอนุสัญญาเกียวโต (ฉบับแก้ไข)
2. แก้ไขภาค 4 ประเภท 10 เพื่อให้การยกเว้นอากรมิได้ครอบคลุมเฉพาะตามสัญญากับนานาประเทศเท่านั้น แต่ให้รวมถึงสัญญาที่ประเทศไทยมีกับองค์กรระหว่างประเทศด้วย เพื่อให้สอดคล้องรองรับกับวิวัฒนาการทางการค้าโลก ซึ่งมีองค์กรระหว่างประเทศเกิดขึ้นมากมาย เช่น WCO / WTO เป็นต้น
3. แก้ไขภาค 4 ประเภท 12 ให้มูลค่าของที่ได้รับยกเว้นอากรจากเดิม 1,000 บาท เป็oไม่เกินมูลค่าที่อธิบดีกำหนด โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อให้ยืดหยุ่นได้ตามค่าของเงินที่เปลี่ยนแปลงไป
วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558
โครงการสัมมนา TU – ASEAN Forum ครั้งที่ 10 เรื่อง “อาเซียน ไทย และมหาอำนาจในยุคแห่งการปฏิรูป”
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นิติกรปฏิบัติการ
หน่วยงาน : สำนักกฎหมาย
หลักสูตรฝึกอบรม : โครงการสัมมนา TU – ASEAN Forum ครั้งที่ 10 เรื่อง “อาเซียน ไทย และมหาอำนาจในยุคแห่งการปฏิรูป”
หน่วยงานผู้จัด : ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
1. เพื่อเพิ่มองค์ความรู้เกี่ยวกับอาเซียนในประเด็นต่าง ๆ
2. เพื่อให้ทราบถึงยุทธศาสตร์ และเป้าหมายของประเทศมหาอำนาจ อาเซียน และไทย ในการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ : ความสัมพันธ์อาเซียน ไทย กับ สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่นในสมัยสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาดำเนินยุทธศาสตร์การต่อต้านคอมมิวนิสต์ ความสัมพันธ์ไทย – สหรัฐอเมริกา เป็นไปในลักษณะที่ไทยเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่
ต่อมาเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง เมื่อประมาณ 20 ปี ที่ผ่านมา สถานการณ์ในภูมิภาคได้เปลี่ยนไปอย่างมาก โดยมีการผงาดขึ้นมาของ 3 ผงาด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อภูมิภาคและต่อสหรัฐอเมริกา คือ
ผงาดที่ 1 คือ การผงาดขึ้นมาของจีน (The sise of China)
ผงาดที่ 2 คือ การผงาดขึ้นมาของเอเชีย (The rise of Asis) เพราะว่าเอเชียกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก จึงเห็นได้ว่า จีนกำลังผงาด และเกาหลี อินเดีย อาเซียน ญี่ปุ่น ล้วนแล้วเป็นประเทศที่อยู่ในเอเซียทั้งหมด
ผงาดที่ 3 คือ การผงาดขึ้นมาของอาเซียน (The rise of ASEAN)
ดังนั้น จะเห็นว่าในเอเชียมีแต่การผงาดขึ้นมา ในทางตรงกันข้ามตะวันตกจะมีแต่การเสื่อมลงหรือตกต่ำลง หรืออาจจะกล่าวได้ว่า เอเชียกำลังเป็นช่วงขาขึ้น ในขณะที่ตะวันตกกำลังเป็นช่วงขาลง จากบริบทดังกล่าวทำให้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์จีน – อาเซียน จึงกระชับแน่นแฟ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้จีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของอาเซียนและของไทยด้วย ในเรื่องของการท่องเที่ยว การลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน สร้างถนน รถไฟ ฯลฯ
จากการพัฒนาดังกล่าวจึงทำให้สหรัฐอเมริกากังวลใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าอิทธิพลของตนในภูมิภาคกำลังจะเสื่อมลง และจะไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งอีกต่อไป ดังนั้น ในสมัยรัฐบาลโอบามา ในช่วง 6 ปี ที่ผ่านมาได้วิเคราะห์สถานการณ์และได้ข้อสรุปว่าต้องปรับนโยบายและยุทธศาสตร์ใหม่ ต่อภูมิภาค 4 ยุทธศาสตร์
ดังนี้
1. ความต้องการครองความเป็นเจ้าในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านทหาร เศรษฐกิจ
2. การสกัดกั้น (ถ่วงดุล/ปิดล้อม) การขยายอิทธิพลของจีน
3. การป้องกันไม่ให้ประเทศในเอเชียรวมกลุ่มกันโดยไม่มีสหรัฐอเมริกา
4. เรื่องผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจต่อภูมิภาค
เอเชียจะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก ดังนั้น ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจึงอยู่ที่เอเชีย จึงเห็นได้ว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 สหรัฐอเมริกาพยายามจะกลับมาโดยมีการเข้าร่วมประชุมสุดยอดกับอาเซียนครั้งแรก เพราะมองว่าอาเซียนกลายเป็นกลุ่มประเทศที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค เป็นองค์กรที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค เนื่องจาก GDP ของ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนรวมกันมีมูลค่า 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คืออันดับ 9 ของโลก
สำหรับไทย ในช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกากำลังกระชับความสัมพันธ์กับอาเซียนมากขึ้นนั้น เป็นช่วงเวลาที่ไทยกำลังตกต่ำ วุ่นวายและมีการรัฐประหารในปี ค.ศ. 2006 ทำให้สหรัฐอเมริกาหยุดความสัมพันธ์กับไทย เพราะเป็นกติกา ที่สหรัฐอเมริกาจะไม่เจรจากับรัฐบาลทหาร ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ความสัมพันธ์ไทย – สหรัฐอเมริกา จืดจางลงเรื่อย ๆ เพราะปัญหาการเมือง โดยให้ไทยเดินหน้ากลับคืนสู่ประชาธิปไตย และให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว สหรัฐอเมริกาจึงใช้วิธีย้ายไปที่อื่น เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย
รัฐบาลปัจจุบัน (พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้ตัดสินใจหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นการตัดสินใจแบบเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการฑูต ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมาที่ไทยพยายามมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกมหาอำนาจ ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกากดดันไทยอย่างหนัก และเนื่องจากโลกกำลังเปลี่ยนจากระบบขั้วอำนาจเดียวเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนที่มีอำนาจและบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้น รัฐบาลไทยได้พยายามเข้าหาจีน และมีการตัดสินใจ มีข้อสรุปอย่างรวดเร็วในเรื่องที่จีนจะเข้ามาช่วยสร้างทางรถไฟเชื่อมจากกรุงเทพฯ - เวียงจันทน์ และไปถึงคุนหมิง
หลังจากนั้นญี่ปุ่นเห็นว่าจีนกำลังทำอะไรอยู่ จึงคิดว่าต้องรีบเข้ามาหาไทยเพื่อที่จะไม่เพลี่ยงพล้ำต่อการรุกคืบของจีน โดยเสนอว่าอยากจะมาช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ไทย และไทยจึงเสนอให้ญี่ปุ่นเข้ามาช่วยสร้างท่าเรือน้ำลึกนิคมอุตสาหกรรมที่ทวาย และทางรถไฟ โดยเชื่อมจากทวาย – กาญจนบุรี – กรุงเทพฯ – กัมพูชา และเวียดนามซึ่งเรียกว่าระเบียงเศรษฐกิจใต้ หรือ southern economic corridor รวมทั้งเส้นระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก หรือ east – west economic corridor จากเมียวดี – แม่สอด – พิษณุโลก – ขอนแก่น – มุกดาหาร – สะหวันนะเขต – ดานัง ต่อมาเกาหลีสนใจและพยายาติดต่ออยากจะเข้ามาติดต่อเพื่อเข้ามามีบทบาทในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้ไทย นอกจากนี้รัสเซียเริ่มขยับเข้ามากระชับความสัมพันธ์กับไทยมากขึ้น โดยขณะนี้รัสเซียมีปัญหากับสหรัฐอเมริกา และตะวันตกในเรื่องยูเครน จึงต้องการหาพันธมิตร เพราะถูกตะวันตกปิดล้อม และไทยก็ต้องการหาพันธมิตรเพราะกำลังถูกสหรัฐอเมริกากดดัน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับไทยจึงเป็นลักษณะที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
จากที่กล่าวมาข้างต้น ในขณะนี้ไทยจึงเน้นเข้าหาจีน เกาหลี รัสเซีย และอาเซียน เพราะประเทศในเอเชียไม่ได้มีปัญหากับไทย และแยกออกระหว่างเรื่องการเมืองภายในและเรื่องการต่างประเทศ
วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558
สร้างความรู้ความเข้าใจและปลูกจิตสำนึกด้านพลังงาน
ผู้เล่าเรื่อง : นางศิริมา เฟื่องดอกไม้.
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : เจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน
หน่วยงาน : สำนักงานคลังจังหวัดอุตรดิตถ์
หลักสูตรฝึกอบรม : สร้างความรู้ความเข้าใจและปลูกจิตสำนึกด้านพลังงาน
หน่วยงานผู้จัด : สำนักงานพลังงานจังหวัดอุตรดิตถ์
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
1) เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้านทิศทางนโยบายและสถานการณ์พลังงานของประเทศ
2) เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงานและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
3) เพื่อให้บุคลากร องค์กร เห็นความสำคัญในการอนุรักษ์พลังงาน
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ
การอนุรักษ์พลังงาน คือ ความพยายามเพื่อลดการใช้พลังงานในระบบลง ซึ่งการอนุรักษ์พลังงานที่ดีจะเป็นการวางแผนในด้านการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานเพื่อการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพร่วมกับการลดความต้องการใช้พลังงานลง ซึ่งการอนุรักษ์พลังงานนี้จะให้ประโยชน์ทั้งทางตรงและอ้อม เช่น เพิ่มรายได้ของระบบ เพิ่มคุณภาพของสิ่งแวดล้อม เพิ่มความมั่นคงทางพลังงานของชาติ
การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้า เป็นส่วนประกอบสำคัญของการวางแผนนโยบายพลังงานของทุกองค์กร โดยการวางแผนที่ดีจะสามารถลดการใช้พลังงานต่อหน่วยการลงทุน ซึ่งทำให้ความต้องการพลังงานไม่สูงมากเกินเมื่อองค์กรขยายและมีการเติบโต ซึ่งสู่ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่มีเหตุผลและสามารถลดความต้องการอุปกรณ์ใหม่เพื่อมารองรับพลังงานในระบบที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันมี อุปกรณ์สำนักงาน หลายประเภทที่ช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานในสำนักงานต่าง ๆ เช่น…คอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร และเครื่องโทรสาร เป็นต้น การทำงานของอุปกรณ์สำนักงานเหล่านี้ เมื่อมีการใช้งานจะมีช่วงเวลาในการอุ่นเครื่อง หรือบางครั้งจะอยู่ในสภาวะรอทำงาน ซึ่งล้วนแต่เป็นช่วงที่สูญเสียพลังงานโยไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ช่วงที่อุปกรณ์เหล่านี้ถูกเปิดใช้งาน จะมีการระบายความร้อนออกสู่ภายนอก ทำให้อุณหภูมิภายในห้องเพิ่มขึ้น หรือเป็นผลให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักสิ้นเปลืองไฟฟ้ามากขึ้นด้วย ดังนั้น เจ้าของสำนักงานและผู้ใช้อุปกรณ์ในสำนักงาน จึงควรร่วมมือกันใช้งานอย่างถูกต้อง เพื่อช่วยกันประหยัดพลังงาน และช่วยลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้กับสำนักงานได้
การประหยัดไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบกิจการต่างๆ การผลิตพลังงานไฟฟ้าให้พอเพียงกับความต้องการใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ในแต่ละปีประเทศไทยได้สูญเสียเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมากในการจัดหาเชื้อ เพลิงและพลังงานมาทำการ ผลิตพลังงานไฟฟ้า แม้ว่าความพยายามในการลดสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังมีสัดส่วนที่สูงอยู่ ดังนั้นการประหยัดพลังงานจึงยังคงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่ทุกส่วนฝ่ายควรให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นกิจการธุรกิจระดับต่างๆหรือผู้ใช้ไฟฟ้าตามบ้านเรือนทั่วไป สำหรับการใช้ไฟฟ้าในบ้านอยู่อาศัยนั้น ส่วนใหญ่จะใช้เพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจากการประเมินศักยภาพในการประหยัดไฟฟ้าปรากฏว่าในส่วนของบ้านอยู่อาศัย เป็นส่วนที่มีโอกาสลดค่าใช้จ่าย ในการใช้ไฟฟ้าลงได้อีกมาก เพราะในปัจจุบัน มีการใช้ไฟฟ้าอย่างสิ้นเปลืองในครัวเรือนโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากขาดความรู้และไม่ทราบถึงวิธีการที่จะประหยัดการใช้
สรุปได้ว่า: พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จำเป็นต่อชีวิตมีผลต่อความเป็นอยู่ตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับประเทศและทั่วโลก การประหยัดไฟฟ้าไม่ใช่เป็นเรื่องยาก เพียงแต่ขอให้มีความตั้งใจจริงบวกกับความอดทนบ้างเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเกิดความเคยชินในการปฏิบัติก็จะเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้แก่ ครอบครัวรวมทั้งยังเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอีกด้วย
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : เจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน
หน่วยงาน : สำนักงานคลังจังหวัดอุตรดิตถ์
หลักสูตรฝึกอบรม : สร้างความรู้ความเข้าใจและปลูกจิตสำนึกด้านพลังงาน
หน่วยงานผู้จัด : สำนักงานพลังงานจังหวัดอุตรดิตถ์
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
1) เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้านทิศทางนโยบายและสถานการณ์พลังงานของประเทศ
2) เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงานและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
3) เพื่อให้บุคลากร องค์กร เห็นความสำคัญในการอนุรักษ์พลังงาน
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ
การอนุรักษ์พลังงาน คือ ความพยายามเพื่อลดการใช้พลังงานในระบบลง ซึ่งการอนุรักษ์พลังงานที่ดีจะเป็นการวางแผนในด้านการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานเพื่อการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพร่วมกับการลดความต้องการใช้พลังงานลง ซึ่งการอนุรักษ์พลังงานนี้จะให้ประโยชน์ทั้งทางตรงและอ้อม เช่น เพิ่มรายได้ของระบบ เพิ่มคุณภาพของสิ่งแวดล้อม เพิ่มความมั่นคงทางพลังงานของชาติ
การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้า เป็นส่วนประกอบสำคัญของการวางแผนนโยบายพลังงานของทุกองค์กร โดยการวางแผนที่ดีจะสามารถลดการใช้พลังงานต่อหน่วยการลงทุน ซึ่งทำให้ความต้องการพลังงานไม่สูงมากเกินเมื่อองค์กรขยายและมีการเติบโต ซึ่งสู่ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่มีเหตุผลและสามารถลดความต้องการอุปกรณ์ใหม่เพื่อมารองรับพลังงานในระบบที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันมี อุปกรณ์สำนักงาน หลายประเภทที่ช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานในสำนักงานต่าง ๆ เช่น…คอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร และเครื่องโทรสาร เป็นต้น การทำงานของอุปกรณ์สำนักงานเหล่านี้ เมื่อมีการใช้งานจะมีช่วงเวลาในการอุ่นเครื่อง หรือบางครั้งจะอยู่ในสภาวะรอทำงาน ซึ่งล้วนแต่เป็นช่วงที่สูญเสียพลังงานโยไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ช่วงที่อุปกรณ์เหล่านี้ถูกเปิดใช้งาน จะมีการระบายความร้อนออกสู่ภายนอก ทำให้อุณหภูมิภายในห้องเพิ่มขึ้น หรือเป็นผลให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักสิ้นเปลืองไฟฟ้ามากขึ้นด้วย ดังนั้น เจ้าของสำนักงานและผู้ใช้อุปกรณ์ในสำนักงาน จึงควรร่วมมือกันใช้งานอย่างถูกต้อง เพื่อช่วยกันประหยัดพลังงาน และช่วยลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้กับสำนักงานได้
การประหยัดไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบกิจการต่างๆ การผลิตพลังงานไฟฟ้าให้พอเพียงกับความต้องการใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ในแต่ละปีประเทศไทยได้สูญเสียเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมากในการจัดหาเชื้อ เพลิงและพลังงานมาทำการ ผลิตพลังงานไฟฟ้า แม้ว่าความพยายามในการลดสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังมีสัดส่วนที่สูงอยู่ ดังนั้นการประหยัดพลังงานจึงยังคงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่ทุกส่วนฝ่ายควรให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นกิจการธุรกิจระดับต่างๆหรือผู้ใช้ไฟฟ้าตามบ้านเรือนทั่วไป สำหรับการใช้ไฟฟ้าในบ้านอยู่อาศัยนั้น ส่วนใหญ่จะใช้เพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจากการประเมินศักยภาพในการประหยัดไฟฟ้าปรากฏว่าในส่วนของบ้านอยู่อาศัย เป็นส่วนที่มีโอกาสลดค่าใช้จ่าย ในการใช้ไฟฟ้าลงได้อีกมาก เพราะในปัจจุบัน มีการใช้ไฟฟ้าอย่างสิ้นเปลืองในครัวเรือนโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากขาดความรู้และไม่ทราบถึงวิธีการที่จะประหยัดการใช้
สรุปได้ว่า: พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จำเป็นต่อชีวิตมีผลต่อความเป็นอยู่ตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับประเทศและทั่วโลก การประหยัดไฟฟ้าไม่ใช่เป็นเรื่องยาก เพียงแต่ขอให้มีความตั้งใจจริงบวกกับความอดทนบ้างเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเกิดความเคยชินในการปฏิบัติก็จะเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้แก่ ครอบครัวรวมทั้งยังเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอีกด้วย
วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558
การถ่ายภาพเพื่อการประชาสัมพันธ์และการออกแบบสื่อสมัยใหม่
ผู้เล่าเรื่อง : นายพงศักดิ์ แถมเดช
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วยงาน : กรมบัญชีกลาง สำนักบริหารการรับ-จ่ายเงินภาครัฐ…ส่วน 1
หลักสูตรฝึกอบรม : การถ่ายภาพเพื่อการประชาสัมพันธ์และการออกแบบสื่อสมัยใหม่
หน่วยงานผู้จัด : กระทรวงการคลัง
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
๑) เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้การใช้กล้องถ่ายรูปและเทคนิคการถ่ายภาพ
๒) เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้การออกแบบสื่อสมัยใหม่
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ : การถ่ายภาพเพื่อการประชาสัมพันธ์และการออกแบบสื่อสมัยใหม่
1. การถ่ายภาพ
ความเร็วชัตเตอร์ (S,TV)
ความเร็วชัตเตอร์
เป็นการกำหนดระยะเวลาในการบันทึกภาพ ซึ่งกลไกของกล้องจะมีแผ่นเลื่อนเปิดปิดอยู่หน้าฟิล์ม (หรือแผ่นรับแสง CCD ในกรณีของกล้องดิจิตอล) เรียกว่าชัตเตอร์ สามารถเปิดและปิดเพื่อเปิดให้แสงเข้าไปบันทึกภาพตามระยะเวลาที่เราตั้งความเร็วชัตเตอร์ เราต้องเลือกให้เหมาะสมกับวัตถุที่ต้องการถ่ายภาพ โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง เช่น การถ่ายภาพจากแหล่งแสงที่มีแสงน้อย เช่น แสงเทียน ต้องเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์หลายวินาที ส่วนการถ่ายภาพกลางแจ้ง มีแดดจัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงกว่า เช่น 1/500 วินาทีเป็นต้น
ปัจจัยอื่นที่สำคัญคือ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ เช่น การถ่ายภาพรถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ต้องการให้ภาพคมชัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่ทำได้ โดยสัมพันธ์กับขนาดรูรับแสงที่เลือก เช่น ตั้งความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/4000 วินาที เป็นต้น
ขนาดรูรับแสง (A,AV)
ขนาดรูรับแสง
กล้องส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์บังคับให้แสงผ่านเลนส์มากหรือน้อย โดยใช้แผ่นกลีบโลหะซึ่งติดตั้งอยู่ในตัวเลนส์เป็นการกำหนดปริมาณแสงผ่านเลนส์ได้มากหรือน้อย โดยวิธีเปิดรูเล็กสุด เช่น f/22 และค่อยๆใหญ่ขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเปิดเต็มที่ เช่น f/1.4 แต่ขนาดเปิดเต็มที่จะขึ้นกับขนาดชิ้นเลนส์ด้วย เลนส์ราคาสูงที่มีเลนส์ชิ้นหน้าขนาดใหญ่ จะรับแสงได้มากกว่า ซึ่งหมายถึงเปิดรูรับแสงเต็มที่ได้กว้างกว่า เช่น f/1.2 สำหรับการถ่ายภาพจะเลือกใช้ขนาดรูรับแสงใด โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง ถ้าแสงมากมักจะใช้ขนาดรูรับแสงเล็ก เช่น f/11 ถ้าแสงน้อยมักจะใช้ขนาดรูรับแสงใหญ่ เช่น f/2 เป็นต้น
ปัจจัยอื่นที่สำคัญ คือ ความชัดลึก
ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วชัตเตอร์กับขนาดรูรับแสง
การตั้งความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสง ต้องมีความสัมพันธ์กัน เพื่อให้ได้ปริมาณแสงที่พอเหมาะในการบันทึกภาพ ซึ่งในสภาพแสงเดียวกัน และเลือกค่าความไวแสงเท่ากัน สามารถตั้งค่าที่เหมาะสมได้หลายค่า
การตั้งความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสง
การเลือกคู่ที่เหมาะสมตามตัวอย่างในหัวข้อ ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วชัตเตอร์กับขนาดรูรับแสง ให้พิจารณาได้จากปัจจัยต่างๆดังนี้
1. ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุที่จะถ่าย
วัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว แต่เราต้องการภาพชัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่กล้องจะทำได้ แต่ถ้าเป็นวัตถุที่อยู่นิ่งนั้น สามารถเลือกความเร็วชัตเตอร์เท่าไรก็ได้
2. ความชัดลึกของวัตถุที่จะถ่าย
ขนาดรูรับแสงเล็ก เช่น f/22 จะให้ความชัดลึกมากกว่าขนาดรูรับแสงกว้าง เช่น f/1.4 ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมากในการถ่ายภาพระยะใกล้ หรือใช้เลนส์ถ่ายไกลในการถ่ายภาพ
การชดเชยแสง (EV+/-)
การชดเชยแสง
เป็นการปรับปริมาณแสงในการบันทึกภาพให้แตกต่างไปจากค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสง เช่น การถ่ายภาพย้อนแสงนั้น ค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสง มักจะได้ค่าที่ทำให้วัตถุค่อนข้างมืด การชดเชยแสง โดยเพิ่มแสงมากกว่าที่วัดแสงได้ หรืออีกกรณีหนึ่งคือ การถ่ายภาพวัตถุที่อยู่หน้าฉากหลังสีดำ ค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสงมักจะได้ค่าที่ทำให้วัตถุค่อนข้างสว่างเกินไป การชดเชยแสงทำได้โดยลดแสงให้น้อยกว่าที่วัดแสงได้ เป็นต้น
โดยทั่วไปกล้องมีระบบชดเชยแสงสำเร็จรูป หรือเรียกว่าการปรับ EV อยู่แล้ว โดยตามหลักการกล้องจะไปปรับ ความเร็วชัตเตอร์ หรือปรับรูรับแสง เพื่อให้ภาพสว่าง หรือมืดลงกว่าที่วัดแสง หรือเราสามารถไปปรับที่ parameter ดังกล่าวได้โดยตรง
การเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสงเพื่อชดเชยแสง
ในการชดเชยแสงนั้น นิยมปรับเปลี่ยน เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งคือความเร็วชัตเตอร์ หรือ ขนาดรูรับแสง หลักการชดเชยแสงก็มีเพียงสองทาง คือ เพิ่มแสง หรือลดแสง
การเพิ่มแสง
การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์ คือ การลดความเร็วชัตเตอร์ลง เช่น วัดแสงได้ 1/500 วินาที เพิ่มแสง 1 ระดับก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/250 ยึดหลักว่าถ้าชัตเตอร์ปิดช้าลงก็จะต้องได้แสงมากขึ้นแน่นอน หากเพิ่มแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสงก็ต้องเพิ่มขนาดรูรับแสงให้ใหญ่ขึ้น เช่น วัดแสงได้ f/4 เพิ่มแสง 1 ระดับก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/2.8
การลดแสง
การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์ คือ การเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ เช่น วัดแสงได้ 1/500 วินาที ลดแสง 1 ระดับ ก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/1000 คือให้ชัตเตอร์ปิดเร็วขึ้นเท่าตัวนั่นเอง หากลดแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสง ก็ต้องลดขนาดรูรับแสงให้เล็กลง เช่น วัดแสงได้ f/4 ลดแสง 1 ระดับ ก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/5.6
การเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เหมาะสมกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น ให้พิจารณาดังนี้
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
แบ่งทิศทางการเคลื่อนที่เป็น 2 ลักษณะ คือเคลื่อนที่เข้าหา/ออกห่างกล้อง หรือ เคลื่อนที่ผ่านกล้องจากซ้ายไปขวาหรือกลับกัน โดยที่การเคลื่อนที่เข้าหาหรือออกห่างจากกล้องนั้นสามารถเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำว่าการเคลื่อนที่ผ่านกล้อง เช่น รถยนต์ที่ขับด้วยความเร็วด้วยความเร็ว 60 กม./ชม.เท่ากัน ที่เคลื่อนที่เข้าหากล้อง อาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/125 แต่ถ้าเคลื่อนที่ผ่านกล้อง อาจต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ถึง 1/500
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ
วัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว เช่น รถแข่ง ควรเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดที่กล้องสามารถทำได้ ส่วนคนเดิน สามารถใช้ความเร็วที่น้อยกว่าได้ อย่างไรก็ตาม การถ่ายภาพวัตถุเคลื่อนที่ ควรเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่สภาพแสงอำนวย
ผลลัพธ์หยุดนิ่งหรือดูแล้วเคลื่อนไหว
การสร้างสรรภาพบางแบบ นิยมให้ภาพดูแล้วมีลักษณะเบลอแบบเคลื่อนไหว เพื่อให้ผู้ชมภาพมีความรู้สึกว่า มีความเคลื่อนไหวในภาพ อาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้ากว่าปกติได้ เช่น รถแข่ง อาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/15 พร้อมกับเล็งกล้องติดตามรถแข่งไปด้วยขณะที่กดปุ่มชัตเตอร์ หากฝึกให้ดีแล้วจะได้ภาพที่รถแข่งชัดบางส่วน ส่วนฉากหลังจะมีลักษณะเป็นลายทางให้ความรู้สึกถึงความเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
ความชัดลึก
อันนี้เป็นคุณสมบัติเรื่องของเลนส์เป็นหลักเลยครับ ปัจจัยที่มีผลต่อเรื่องนี้คือขนาดรูรับแสง
ขนาดรูรับแสงที่เล็กจะชัดลึกกว่า ขนาดรูรับแสงใหญ่ เช่น ถ้าเราถ่ายภาพระยะใกล้ เช่น ถ่ายดอกชบา 1 ดอกแบบเต็มภาพทางด้านหน้า เราจะเห็นว่าเกสรดอกจะอยู่ใกล้กล้องมากที่สุด กลีบดอก และก้านดอกจะอยู่ลึก หรือไกลกล้องออกไป หากเราต้องการถ่ายภาพให้ชัดทั้งหมดตั้งแต่เกสรดอกจนถึงก้านดอก นี่แหละคือสิ่งที่เราเรียกว่าความชัดลึก ซึ่งต้องใช้รูรับแสงขนาดเล็กไว้ ในทางกลับกันหากเราใช้รูรับแสงใหญ่ จะเรียกว่าชัดตื้น มักใช้ในกรณีที่เราต้องการให้ฉากหลังมีความคมชัดน้อยกว่าวัตถุ เพื่อเน้นให้วัตถุเด่นขึ้นมา มักจะพบบ่อยในการถ่ายภาพแฟชั่น หรือการถ่ายบุคคลเฉพาะใบหน้า
ขนาดความยาวโฟกัสของเลนส์
เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสน้อย เช่น 28 มิลลิเมตร จะมีความชัดลึกมากกว่าเลนส์ 300 มิลลิเมตร ดังนั้นใครที่ต้องการถ่ายภาพให้ชัดลึกก็ต้องเลือกความยาวโฟกัสให้น้อยเข้าไว้ เช่นการถ่ายภาพทิวทัศน์ ส่วนงานถ่ายภาพแฟชั่น มักจะใช้ขนาดความยาวโฟกัสมาก ทำให้ฉากเบลอเน้นที่นางแบบให้เด่นครับ
ระยะห่างระหว่างกล้องถึงวัตถุ
ระยะห่างมากจะชัดลึกกว่า ระยะห่างน้อย เราจะเห็นว่าเวลาเราถ่ายภาพวิว ซึ่งเป็นระยะไกลๆ ภาพมักจะชัดทั้งภาพ แต่ถ้าเราถ่ายภาพดอกไม้ในระยะใกล้ๆ ภาพมักจะไม่ชัดทั้งภาพ จะชัดเพียงบางส่วน ตามที่เราตั้งโฟกัสไว้ พอรู้อย่างนี้แล้ว ครั้งต่อไปที่ถ่ายภาพดอกไม้ระยะใกล้อย่าลืมใช้ขนาดรูรับแสงแคบๆนะครับ ซึ่งกล้องสมัยนี้ สามารถถ่ายได้อยู่แล้วในโหมดที่เรียกว่า Macro(มาโคร)
การวัดแสงเพื่อการถ่ายภาพ
เทคนิคการวัดแสงขั้นพื้นฐาน ให้พิจารณาจากปัจจัยสำคัญดังนี้
แหล่งต้นกำเนิดแสง
กล้องปัจจุบันสามารถปรับสมดุลย์สีขาว (White balance) ได้อัตโนมัติ ผู้ใช้กล้องทั่วไปจึงไม่ได้ให้ความสำคัญในส่วนนี้ แต่แท้จริงแล้วเป็นส่วนสำคัญที่จะได้ภาพที่มีสีสรรถูกต้อง เนื่องจากฟิล์มถูกผลิตมาให้เหมาะสมกับอุณหภูมิสีของแสงตามที่ออกแบบมา เช่น แสงอาทิตย์ (Daylight) หรือแสงจากหลอดไส้ หรือแสงจากหลอดนีออน เป็นต้น หากเป็นกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ มักจะออกแบบมาให้สามารถปรับเปลี่ยนชนิดแหล่งต้นกำเนิดแสงได้ แม้ว่ากล้องจะมีปุ่มปรับสมดุลย์สีขาวอัตโนมัติ (Auto White balance) มาแล้วก็ตาม แต่บางครั้งการทำงานของระบบอัตโนมัติก็ไม่ถูกต้องนัก ซึ่งเราจะเห็นได้จากจอ LCD ว่าสีเพี้ยน หากเป็นเช่นนี้เราก็ต้องปรับตั้งแหล่งต้นกำเนิดแสงด้วยตนเอง เช่น แสงอาทิตย์ / แสงอาทิตย์มีเมฆมาก / แสงอาทิตย์ใต้อาคาร / แสงจากหลอดไส้ / แสงจากหลอดนีออน / ตั้งสมดุลย์สีขาวเอง (Custom) หากเราลองเปลี่ยนสมดุลย์สีขาวชนิดต่างๆในกล้องแล้วยังได้สีไม่ตรงตามความเป็นจริง เราต้องใช้วิธีตั้งสมดุลย์สีขาวเอง ซึ่งวิธีการจะแตกต่างกันไปในกล้องแต่ละยี่ห้อ ซึ่งวิธีการโดยทั่วไปจะต้องใช้กระดาษสีขาวมาวางไว้ภายใต้สภาพแสงขณะนั้น แล้วเลือกตั้งสมดุลย์สีขาวเอง จากนั้นส่องกล้องให้เห็นกระดาษสีขาวเต็มจอ กดปุ่ม Set เพื่อให้กล้องอ่านอุณหภูมิสีขณะนั้น กล้องจะปรับแก้ให้เราเห็นกระดาษขาวเป็นสีขาวจริงๆ ผ่านจอ LCD เป็นเสร็จพิธี แล้วก็ถ่ายภาพที่มีสีถูกต้องในสภาพแสงนั้นได้ตลอด หากออกจากสภาพแสงนั้นแล้วอย่าลืมเปลี่ยนสมดุลย์สีขาว หรือตั้งค่าใหม่ด้วยนะครับ
ทิศทางของแสง
การถ่ายภาพแบบพื้นฐานนั้น เราจะเน้นแต่แสงธรรมชาติกับแสงจากแฟลช แบ่งเป็นแสงส่องวัตถุคือแสงส่องหน้าแบบของเรา ซึ่งแสงจากแฟลชก็เป็นแสงแบบนี้แสงหลังหรือที่เรียกว่าย้อนแสง แสงข้าง แสงบนเช่นตอนเที่ยงวัน การวัดแสงควรวัดแสงที่วัตถุเท่านั้นจะได้ค่าการวัดแสงที่ถูกต้องที่สุด ในกรณีแสงข้าง ควรวัดแสงเฉลี่ยด้านมืดกับด้านสว่าง แต่ถ้าเราต้องการภาพเชิงศิลป์ออกโทนมืดๆหน่อย ให้วัดแสงที่ด้านสว่าง กรณีนี้ต้องใช้กล้องที่สามารถปรับวิธีวัดแสงแบบเฉพาะจุด (Spot) จะได้ไม่ต้องเข้าใกล้ขนาดจ่อหน้านางแบบมาก ขอเสริมเทคนิคให้สำหรับกล้องที่ไม่สามารถปรับวิธีวัดแสงแบบเฉพาะจุดได้ ให้ใช้วิธีวัดแสงกับมือของตากล้องนี่แหละครับ ดูแปลกๆหน่อยแต่ก็ช่วยให้วัดแสงได้แม่นยำขึ้นนะครับ โดยหลักการแล้ว กล้องแบบนี้จะวัดแสงเฉลี่ย ดังนั้นช่างภาพยกมือเราขึ้นมาทำให้แสงที่ตกบนมือเราเหมือนกับที่หน้านางแบบ เช่น แสงข้าง ก็ต้องกำมือปรับมุมข้อมือให้แสงตกบนหลังมือเราเหมือนแสงที่หน้านางแบบ แล้วเอากล้องจ่อที่มือเราแล้ววัดแสง เราอาจเน้นด้านสว่าง ก็จ่อกล้องที่ด้านสว่าง หรือเน้นที่ด้านมืด ก็จ่อกล้องที่ด้านมืด แต่ถ้ากล้องของเราทำการตั้งระยะชัดพร้อมกับวัดแสงด้วย แบบนี้ใช้ไม่ได้นะครับ เพราะระยะชัดไม่ถูกต้องครับ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่หมดหนทางครับ แต่เราต้องเตรียมกระดาษสีเทาใบใหญ่กว่า A4 ก็ดีครับ ให้นางแบบถือไว้โดยปรับมุมของกระดาษสีเทานี้แสงตกกระทบในมุมเดียวกับหน้านางแบบ แล้ววัดแสงที่กระดาษสีเทาก็ได้จะได้ค่าแสงที่เหมาะสมครับ
ความเปรียบต่างของแสงส่องวัตถุกับแสงหลัง
เช่นกรณีการถ่ายย้อนแสงโดยที่นางแบบอยู่ในร่มเงา ฉากหลังเป็นหาดทรายสีขาว แบบนี้ถ้าวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพ ผลลัพธ์ก็จะออกมามืดไป เพราะเครื่องวัดแสงของกล้องจะโดนหลอกจากแสงหลังที่มาจากหาดทรายว่าแสงมาก จึงให้ค่าการวัดแสงที่ต่ำเกินไปคือถ่ายออกมาแล้วมืดไป เราต้องใช้วิธีวัดแสงเฉพาะจุดที่หน้านางแบบ แต่วิธีนี้ก็ให้ผลเสียคือ ฉากหลังจะขาวเกินไปจนอาจมองไม่ออกเลยว่าถ่ายที่ไหน วิธีนี้แนะนำให้เปิดแฟลชเพื่อลบเงาที่หน้านางแบบ แฟลชที่ติดมากับกล้องจะได้ผลน้อย แต่ก็ดีกว่าไม่เปิด ท่านที่มีแฟลชเสริมขอให้หยิบมาใช้เลยครับ ภาพแจ่มทั้งนางแบบและฉากหลังเลยครับ การวัดแสงมีเรื่องให้กล่าวถึงมากมายครับ ขอให้ติดตามต่อในเรื่องของการถ่ายภาพแบบพิเศษ
2. การเรียนรู้ Photoshop เบื้องต้น
เครื่องมือ
Zoom tool
- Zoom In " Ctrl + + "
- Zoom Out " Ctrl + - "
Hand tool (เลื่อนภาพ)
- Spacebar
เพิ่ม - Fit "Ctrl + 0"
- 100% "Ctrl + 1"
ขนาดภาพ เมนู Image > Image Size
- Pixel Dimension : งาน Digital
- Document Dimension : งานพิมพ์
- Resolution จำนวน pixel / 1 ตารางนิ้ว
งานทั่วไป 72 dpi
งานสิ่งพิมพ์ 300 dpi
-------------------------------------------------------
New File
- name
- preset ค่าสำเร็จรูป (paper 300 dpi , web 72 dpi)
- size เปลี่ยนค่า และหน่วยวัดได้
Preset งาน Web
ปกติ สัดส่วน 4:3 เช่น 1024x768 , 1280x960
สัดส่วน 16:9 ต้องแก้ไขเอง
HD 1280x720
Full HD 1920x1080
--------------------------------------------------------------
ลงสี
Foreground : สีเพิ่ม เช่น Brush
Background : สีลบ เช่น Eraser
- ขนาดหัวแปรง กด [,บ ย่อ ... ],ล ขยาย
- กรณี Brush กด Atl = eyedropper ชั่วคราว
เพิ่มเติม
การดูสีจากภาพ
วิธี 1: ใช้โปรแกรมเสริม ชื่อ Pickpic.org (ตอนติดตั้งระวังด้วย)
วิธี 2: Photoshop
step 1: เปิดภาพสีต้นแบบ
step 2: คลิ๊กผสมสี FG , BG
step 3: ใช้เมาส์ดูดสีจากภาพได้เลย
ผสมสีใหม่
วิธี : คลิ๊ก FG , BG
มี 3 ส่วน 1) สีรุ้ง ค่า Hue เฉดสี
2) ลากแนวนอน ค่า Saturate ระดับสี
3) ลากแนวตั้ง Brightness ความสว่าง
ย้อนกลับคำสั่ง
- undo , redo ทำได้ 1 ครั้ง "Ctrl + Z"
- step Forward ทำได้หลายครั้ง Shift + Ctrl + Z
- step Backward ทำได้หลายครั้ง Alt + Ctrl + Z
* ทำได้ตามขั้นตอนใน History ปกติได้ 20 ขั้นตอน
* set เพิ่ม "Ctrl + K" > Performance
------------------------------------------------------
เมนู Edit > Fill "Shift + F5" ลงสีทั้งหน้า
- สี FG : Alt + Del
- สี BG : Ctrl + Del
---------------------------------------------------
Pattern
ลงลาย Patter
เมนู Edit > Fill : เลือก Use เป็น Patter แล้วเลือกลาย
Option Pattern
เลือกลาย ให้คลิ๊กไอคอน เฟือง
- reset , load , save ได้
- เลือก Library เพิ่มเติมได้
-----------------------------------------------------
การปรับสีภาพ Adjustment
เมนู Image > Adjustment
ส่วนที่ 1 : ปรับแสงภาพ
1. Levels ปรับโทนภาพ ขาว เทา ดำ
ปรับได้ 4 วิธี
วิธี1 : ลากตำแหน่งจุด ดำ เทา ขาว
วิธี2 : ใช้ปรอทจิ้มจุด ขาวสุด-ดำสุด
วิธี3 : คลิ๊กปุ่ม auto
วิธี4 : เมนู Imgage > auto tone
โปรแกรมจะหาจุดขาวสุด-ดำสุด อัตโนมัติ
2. Curve
เหมือน Level แต่ปรับเทาได้ละเอียดกว่า
3. Brightness / Contrast
Brightness ปรับความสว่าง
Contrast ปรับค่าสีเทา (โทนกลาง)
4. Exposure
จำลองปรับรูรับแสงภาพ
ส่วนที่ 2
1. Vibrance
- เพิ่ม-ลดสีภาพ เน้นสีโทนกลาง
- สวยกว่า Saturation แต่สีไม่สดเท่า
2. Hue / Saturation
- Hue เปลี่ยนเฉดสี
- Saturation ปรับระดับสี
- Lightness เพิ่มสีขาว-ดำ
3. Color Balance
แก้ไขภาพสีเพี้ยน
- ให้เพิ่มคู่สีตรงข้าม
- มี 3 ระดับ shadow mintone highlight
4. Black/White
เปลี่ยนภาพสี เป็นภาพขาวดำ สามารถลากที่ภาพ ปรับน้ำหนักแต่ละเฉดสีได้
เพิ่ม
Shadow/Highlight
กรณีถ่ายภาพย้อนแสง
สามารถปรับส่วนเงามืด และส่วนสว่างจ้า
----------------------------------------------
Layer : เป็นการแบ่งภาพออกเป็นชั้นๆ
- Layer เดียวกัน "แก้ไขงานไม่ได้"
- Layer แยกกัน "แก้ไขงานได้"
*** ไฟล์ต้นฉบับ ต้องแยก Layer
-----------------------------------------------------
รวมภาพ
step 1: เปิดหลายๆ ภาพ
step 2: แสดงภาพคู่กัน move tool โดยลากชื่อภาพออกมาเป็นหน้าต่างย่อย
step 3: Move tool คลิ๊กเลือกภาพก่อน
แล้วลากภาพไปทันกัน
** โปรแกรมแยก Layer auto
tool เพิ่มเติม : Magic Eraser สำหรับลบพื้นที่ตามสีภาพ
----------------------------------------------------------
คุณสมบัติ Layer
1. Layer ทั่วไป (ไม่ล๊อค)
- move ได้ (Ctrl = auto select)
- จัดลำดับได้ (Ctrl+[ , Ctrl+])
- ปรับ Option ได้ เช่น Opacity ค่าความทึบ/โปร่ง
2) Layer Background (ล๊อค)
- move ไม่ได้
- ลำดับล่างสุด
- ปรับ Option ไม่ได้
*** ปลดล๊อค : ดับเบิ้ลคลิ๊ก Layer Background
----------------------------------------------------
การเซฟภาพ
1. เมนู File > Save
.Psd , .Tif - แยก Layer ได้
อื่นๆ เช่น jpg , png , bmp , gif - รวม Layer auto
--------------------------------------------
เมนู Edit > Free Transform "Ctlr+T"
- ย่อขยายภาพใน Layer
- move
- scale (Shift = ล๊อคสัดส่วน)
- Rotate (Shift = snap 15 องศา)
- เสร้จแล้ว Enter , ยกเลิก กด ESC
----------------------------------------------------------
ปัญหา : ย่อภาพแล้ว ขยายกลับ ภาพจะเบลอ
แก้ไข : ใช้ Smart Object
วิธี : คลิกขวาที่ชื่อ Layer > Convert to Smart obj
ข้อดี : ภาพเก็บที่อื่น ย่อแล้ว ขยายได้
ข้อเสีย : ภาพเก็บที่อื่น แก้ไขตรงๆ ไม่ได้
- แก้ไขภาพ ต้องดับเบิ้ลคลิ๊กภาพใน Layer โปรแกรมจะเปิดภาพ .psb ให้แก้ไขแล้ว save ได้
- ยกเลิก : คลิ๊กขวาที่ชื่อ Layer > Rasterize Layer
--------------------------------------------------------
copy layer : ใช้ move tool + กด alt ค้าง แล้วย้ายภาพ
---------------------------------------------------------
Selection กำหนดพื้นที่แก้ไข
สร้าง : ใช้เครื่องมือ Marquee tool (4เหลี่ยม,วงกลม)
ใช้เครื่องมือ Lasso tool (ทรงอิสระ)
- Polygon Lasso tool (ทรงหลายเหลี่ยม)
*backspace ย้อนกลับที่ละจุด
Option ด้านบน
new (ปกติ) : สร้างพื้นทีใหม่ , ย้าย Selection เดิมได้
add (Shift) : เพิ่มพื้นที่
subtract (Alt) : ลบพื้นที่
Free Transform เพิ่มเติม
คลิ๊กขวา ขณะ Free Transform อยู่
- Skew ดึงมุมภาพ ในระนาบเดิม
- Distort ดึงมุมภาพ อิสระ
- Perspective ดึง 2 ข้าง พร้อมกัน
- Warp ดัดแบบตาข่าย
L ปรับรูปทรงที่ Option bar
L ปรับค่า Bend โดยลากที่จุดตรงตาข่ายได้เลย
----------------------------------------------------------
เมนู File > Save for web
เซฟสำหรับงานทั่วไป digital
GIF
- 256 สี
- พื้นโปร่งใส (ไม่สวย)
JPG
- 16 ล้านสี
- พื้นทึบ
- กำหนด quality ได้
PNG 24
- 16 ล้านสี
- พื้นโปร่งใส่ (สวย)
-----------------------------------------------------
Blend mode ลูกเล่นสีระหว่าง Layer
วิธี : เลือก Layer ที่ต้องการ แล้วเปลี่ยน Normal
Normal : ปกติ ไม่มีลูกเล่นสี
Multiply : ลบสีขาว (ใช้กับภาพสี = สีโปร่งใสได้)
Screen : ลบสีดำ
Overlay : ลบสีเทา
Color : ย้อมสีภาพ
Hue : เปลี่ยนส่วนที่เป็นเนื้อสีภาพ แนะนำสีแดง
----------------------------------------------------------
เพิ่ม :
ปรับสีภาพ เมนู Image
Invert "ctrl+i" = กลับสีตรงข้าม เช่น ขาว<->ดำ
----------------------------------------------------------
Brush การใช้หัวแปรง
- ปรับขนาด กด [,บ = ย่อ ],ล = ขยาย
- ปุ่ม Option สามารถ reset,load,save ได้
----------------------------------------------------------
Gradient ไล่เฉดสี
ลงสี : ใช้ Gradient tool คลิ๊ก+ลาก ที่ภาพ
เลือกสี : ที่ Option bar + เลือกรูปแบบได้ด้วย
แบบ reset นิยมใช้ 3 ตัวแรก
1. FG / BG ไล่สี ระหว่าง FG ไป BG , ไล่เฉด 2 สี
2. FG to Transparent ไล่สี FG ไปโปร่งใส
3. ดำ ไป ขาว
แก้ไขสี
วิธี : คลิ๊กแถบสี ที่ Option bar เปิด Gradient editor
ปรับเม็ดสีด้านล่าง
- ลากย้ายได้
- เปลี่ยนสี ดับเบิ้ลคลิ๊ก
- เพิ่มสี คลิ๊กที่ว่างระหว่างเม็ดสี
- ลบสี คลิ๊กเม็ดสี + ลากลง
- ปุ่ม New จัดเก็บสีไว้ได้
----------------------------------------------------------
Layer Mask : การซ่อน/แสดงภาพใน Layer
ข้อดี : สามารถแก้ไขภาพได้ตลอดเวลา
step 1 : รวมภาพแยกเป็น Layer
step 2 : เลือก Layer บน แล้วคลิ๊กปุ่ม
" Add Layer Mask " จะมีภาพสีขาวเพิ่มใน Layer
step 3 : ใช้ Brush ระบายสีขาว/ดำ
สีขาว : แสดงภาพ
สีดำ : ซ่อนภาพ
ทวน key : "d" สี defaule ขาว/ดำ "x" สลับสี fg/bg
ยกเลิก
ลากภาพขาว/ดำ ทับ icon ถังขยะ
- Apply : ลบภาพที่ซ่อน
- delet : ยกเลิก
---------------------------------------------------------
Layer Mask เพิ่มเติม
กรณี สร้าง Selection ไว้ แล้วกด Layer mask
โปรแกรมจะลงสี ขาว-ดำ auto
- Select : สีขาว
- ไม่ Select : สีดำ
--------------------------------------------------------
Quick Selection tool
สำหรับสร้าง Select พื้นทีสีใกล้เคียงกัน แบบเร็วๆ
เช่น เสื้อ , ใบหน้า
-----------------------------------------------------------
Workshop : ภาพผู้หญิงใส่หน้ากาก
Workshop : เอาหน้าโดมใส่ iron man
เพิ่มปรับสีภาพ
เมนู Image > Adjustment
- Invert "ctrl+i" ปรับสีตรงข้าม
- Brightness / Contrast ปรับความสว่าง
- Hue/Saturate เปลี่ยนสี/ลดสีภาพ
-------------------------------------------------------
การเกลี่ยภาพต่อกัน
concept ใช้ Gradient ร่วมกับ Layer Mask
step 1: รวมภาพแบบแยก Layer
step 2: คลิ๊กปุ่ม Add Layer Mask
step 3: ลงสี Gradient
- สีดำ->ขาว
- รูปแบบ Linear เส้นตรง
step 4: ขยายพื้นที่ภาพ เมนู Image > Canvas Size
- กำหนดขนาด
- กำหนดตำแหน่งภาพเดิม (ตรงลูกศร)
- กำหนดสี Background
--------------------------------------------------
ย้อมสีภาพด้วย Layer (blend mode : color)
step1 : สร้าง Layer ใหม่ อยู่บนสุด
step2 : ลงสี หรือ Gradient ตามต้องการ
step3 : เปลี่ยน blend model
- normal ปกติ
- Color ย้อมสี
---------------------------------------------------
การต่อภาพ Panorama (ต้องเตรียมภาพมาแล้ว)
step1: เมนู File > Automate > Photomerge
step2: ปุ่ม Browse เลือกไฟล์ภาพ
step3: กด Ok โปรแกรมจะต่อภาพอัตโนมัติ
--------------------------------------------------------
Content aware เติมภาพอัตโนมัติ
step1 : รวมภาพให้เป็น Layer เดียว
1.1 เลือก Layer
1.2 คลิ๊กขวาที่ชื่อ Layer เลือก Merge Layer
step2 : สร้างพื้นที่ Selection ใช้ Magic wand
- ขยายพื้นที่ เมนู Select > Modify > expand
step3 : เมนู Edit > Fill
เลือก User : Content aware
step4 : ยกเลิก Selection "ctrl+d"
-ทบทวนการปรับสี
วิธี 1 : ใช้ Blend mode เป็น Hue
วิธี 2 : ใช้ Adjustment Layer "Hue"
(แก้ไขบางส่วน ใช้ Layer Mask ระบายสีดำ)
การใช้ Refine Edge : di-cut ตัดภาพ
step 1 : เตรียมภาพ (พื้นหลังต้องไม่รกเกินไป)
step 2 : Selection ส่วนที่ต้องการ
ใช้ Quick Selection tool
step 3 : เมนู Select > Refine edge
3.1 View เปลี่ยนการแสดงผล
3.2 Edge Detection : ระบายตามขอบภาพ เช่น ผม
3.3 Adjust Edge : ปรับแต่งขอบ
- Contrast : ทำให้ขอบคมชัดขึ้น
- Shift Edge : เพิ่ม-ลดพื้นที่
3.4 Output
- ปกติ : Selection
- ซ่อนภาพ ให้เลือกเป็น Layer Mask
----------------------------------------------------------
Clone Stamp
copy ภาพแบบระบาย
step 1 : เตรียมภาพ
step 2 : ใช้ Clone Stamp tool
- กด Alt ค้าง + คลิ๊กตำแหน่งต้นแบบ
step 3 : ระบายส่วนที่ต้องการลบ
step 4 : ทำซ้ำๆ ระหว่าง Step 2 และ 3
Healing Brush
- เหมือน Clone Stamp
แต่โปรแกรมเกลี่ยสี อัตโนมัติ
Spot Healing Brush tool
- มีลูกเล่น Content-aware ระบายส่วนที่ต้องการลบได้เลย โปรแกรมเติมภาพ Auto
ปรับสีด้วยการระบาย
Dodge tool ระบายให้ภาพสว่างขึ้น
Burn tool ระบายให้ภาพคล้ำลง
Sponge tool ระบายเพิ่มลดสี
เมนู Filter > Liquefy
ปรับสัดส่วนภาพด้วยการระบาย
1. ดึงภาพ ด้วยการระบาย
2. ย้อนกลับ ด้วยการระบาย
3. ทำให้ภาพเล็กลง
4. ทำให้ใหญ่ บวมขึ้น
-------------------------------------------------------
Layer Styles
ลูกเล่น Layer (ใช้กับ Layer Background ไม่ได้)
- Drop Shadow ปรับเงา
- Glow เรืองแสง
- Stroke ใส่เส้นขอบ
------------------------------------------------------
ภาษาไทย กับ โปรแกรม Adobe
ปัญหาภาษาไทย
1.สระลอย
แก้ไข : ใช้ Font เวอร์ชันใหม่
unicode , opentype
ลิขสิทธ์ : PSL , DB
2. ตัดคำไทย
กรณี พิมพ์ข้อความแล้วขึ้นบรรทัดใหม่อัตโนมัต
อ่านรู้เรื่อง : ตัดคำได้
อ่านไม่รู้เรื่อง : ตัดไม่ได้
Photoshop , Illus : ตัดไม่ได้
InDesign : ตัดได้
3.วรรณยุกต์ผิดตำแหน่ง
วรรณยุกต์จะทับสระ ไม่ลอยขึ้น
- เป็นบ้าง Font
-----------------------------------------------------
การพิมพ์ข้อความ
- ใช้ Type Tool คลิ๊กที่ภาพ แล้วพิมพ์
- โปรแกรมสร้าง Layer ใหม่ อัตโนมัติ
การแก้ไขข้อความ
- ใช้ Type Tool คลิ๊กให้โดนข้อความ
- แก้ไข Character , Paragraph ที่ Option bar
- ถ้าคลิ๊กผิดโปรแกรมจะสร้าง Layer ใหม่
แก้ไขทั่วไป
ต้องอยู่ที่ move tool (v)
- Free Transform "ctrl + T"
- Fill สี "Alt + Del"
- Copy Layer "Alt + move Layer"
-----------------------------------------------------
Action
การบันทึกขั้นตอนการทำงาน เก็บไว้ใช้กับภาพอื่น
ทดลองใช้งาน
1. เมนู Window > Action
2. เลือกรายการ " Wood Frame 50px "
3. เปิดภาพขนาด 100 px ขึ้นไป
4. กดปุ่ม Play ที่หน้าต่าง Action
-------------------------------------------------------------
การสร้าง Action
1. ซ้อม step การทำงาน
2. เปิดภาพ
3. ที่หน้าต่าง Action
3.1 สร้าง New Set (กรณีแยกแฟ้มใหม่)
3.2 สร้าง New Action
- Name
- เลือก Set ที่จัดเก็บ
- กำหนด Key ลัด
- กดปุ่ม Record เริ่มบันทึกทันที
(ไม่พร้อม stop ได้)
4. เริ่มทำงาน (ตัวอย่างที่ทดลองทำ)
- Image Size
- Adjustment > Back&White
- Canvas Size เพิ่มขนาดภาพ (ขอบดำ)
5. ทำเสร็จแล้ว Stop ที่ Action
6. ทดลองใช้กับภาพอื่นๆ
-------------------------------------------------------
โหลด Action จากเน็ต
1. หาและโหลดใน google
2. ส่วนใหญ่จะได้แจกไฟล์ .zip ต้องแตกไฟล์เป็น .atn
3. ถ้าเจอไอคอนสีขาวแถมน้ำเงิน ก็ดับเบิ้ลคลิ๊กใช้ได้เลย
4. เลือกรายการใน Action แล้วใช้งาน
--------------------------------------------
3. การเรียนรู้ Illustrator
Interface
Hand , Zoom
New Doc
Selection tool
สร้าง Shape
แก้ไขสี Fill , Stroke
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)