วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

การสัมมนาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กฎหมายศุลกากรที่ออกใช้บังคับใหม่


ผู้เล่าเรื่อง  : นางสาวญาณิศา  ศิริวัฒน์ และ นางสาวกรรณิการ์ พรรณวงศ์
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังปฏิบัติการ และ นิติกรปฏิบัติการ
หน่วยงาน : สำนักกฎหมาย
หลักสูตรฝึกอบรม  :   การสัมมนาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กฎหมายศุลกากรที่ออกใช้บังคับใหม่
หน่วยงานผู้จัด  :    กรมศุลกากร 
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม 
เพื่อเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ภาครัฐและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนให้เข้าใจบทกฎหมายพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2557 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2557 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2557
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ :  การสัมมนาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กฎหมายศุลกากรที่ออกใช้บังคับใหม่
กรมศุลกากรได้ยกร่างแก้ไขกฎหมายศุลกากรและร่างกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านขึ้นตอนทางนิติบัญญัติเรียบร้อยแล้ว จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2557 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2557 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2557 โดยเนื้อหากฎหมายทั้ง 3 ฉบับ มีสาระสำคัญดังนี้
พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2557 
1. เพิ่มคำนิยามและบทบัญญัติของการผ่านแดน (Transit) และการถ่ายลำ (Transshipment) ไว้ในกฎหมายศุลกากร เพื่อให้มีกฎหมายชัดเจนเพียงพอและเป็นไปตามมาตรฐานสากล รองรับการเคลื่อนย้ายสินค้าเสรีภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 และเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมาตรฐานพิธีการศุลกากรที่เรียบง่ายและสอดคล้องกัน (อนุสัญญาเกียวโต) ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อปี 2548
2. เพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของศุลกากรในการตรวจสอบและตรวจค้นสินค้าถ่ายลำ/ผ่านแดน เพื่อมิให้ผู้ทุจริตใช้ช่องทางดังกล่าวในทางที่ผิด เช่น การนำสินค้าด้วยคุณภาพที่มิได้ผลิตในประเทศไทย แต่มีการแสดงเมืองกำเนิดเป็นไทย ส่งผ่านแดนประเทศไทยไปขายยังประเทศที่สาม โดยให้ศุลกากรสามารถตรวจสอบและตรวจค้นของถ่ายลำ/ผ่านแดน และดำเนินการกับของดังกล่าวได้ ซึ่งจะทำให้อุดช่องว่างมิให้มีการสวมเมืองกำเนินเป็นเท็จเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์หรือประโยชน์ทางการค้าบางอย่างลงได้
3. เพิ่มบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อให้ผู้นำของเข้าสามารถยื่นคำร้องขอให้มีคำวินิจฉัยล่วงหน้า (Advanced Binding Ruling) ในเรื่องพิกัดอัตราศุลกากร ราคา และถิ่นกำเนิดของสินค้า เพื่อให้เกิดความชัดเจน โปร่งใน คาดหมายและอธิบายได้ และการผ่านพิธีการรวดเร็วขึ้น เพราะสามารถลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่างความเห็นของเจ้าหน้าที่ศุลกากรกับผู้นำของเข้าขณะผ่านพิธีการนำเข้าลงได้
4. เพิ่มบทบัญญัติเพื่อให้อธิบดีสามารถจำกัดการใช้อำนาจทางศุลกากรเพื่อตรวจของและป้องกันการลักลอบหนีศุลกากรได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานด้านการตรวจของเฉพาะรายที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น มีกฎหมายรองรับ และไม่ถูกฟ้องร้องว่าเลือกปฏิบัติ กรณีที่ไม่มีการตรวจของของผู้ประกอบการบางราย
5. เพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง และให้มีบทลงโทษกับการกระทำ โดยทางอิเล็กทรอนิกส์ เหมือนการกระทำโดยใช้กระดาษ เพื่อให้เกิดความชัดเจน เนื่องจากการกระทำบางลักษณะเป็นการกระทำทางอาญา จึงต้องมีการกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนในกฎหมาย มิฉะนั้น อาจขัดรัฐธรรมนูญได้
พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2557 
เพิ่มบทบัญญัติเพื่อให้ศุลกากรไปตรวจของในพื้นที่ควบคุมร่วมกันที่ตั้งอยู่นอกประเทศได้ ภายใต้ความตกลง Cross Border Transport Agreement หรือ GMS Agreement
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2557  
1. แก้ไขบทบัญญัติในภาค 4 ประเภท 2 เพื่อให้การนำวัตถุดิบออกไปผ่านกระบวนการนอกประเทศ  เพื่อลดต้นทุน (ด้านแรงงาน ฯลฯ) แล้วนำกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ได้รับยกเว้นอากร เฉพาะส่วนที่ได้นำออกไป (Outward Processing) ทั้งนี้ ตามอนุสัญญาเกียวโต (ฉบับแก้ไข)
2. แก้ไขภาค 4 ประเภท 10 เพื่อให้การยกเว้นอากรมิได้ครอบคลุมเฉพาะตามสัญญากับนานาประเทศเท่านั้น แต่ให้รวมถึงสัญญาที่ประเทศไทยมีกับองค์กรระหว่างประเทศด้วย เพื่อให้สอดคล้องรองรับกับวิวัฒนาการทางการค้าโลก    ซึ่งมีองค์กรระหว่างประเทศเกิดขึ้นมากมาย เช่น WCO / WTO เป็นต้น
3. แก้ไขภาค 4 ประเภท 12 ให้มูลค่าของที่ได้รับยกเว้นอากรจากเดิม 1,000 บาท เป็oไม่เกินมูลค่าที่อธิบดีกำหนด โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อให้ยืดหยุ่นได้ตามค่าของเงินที่เปลี่ยนแปลงไป

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

โครงการสัมมนา TU – ASEAN Forum ครั้งที่ 10 เรื่อง “อาเซียน ไทย และมหาอำนาจในยุคแห่งการปฏิรูป”



ผู้เล่าเรื่อง  :  นางสาววันวิสาข์ ศิริเจริญจรรยา
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นิติกรปฏิบัติการ
หน่วยงาน :  สำนักกฎหมาย
หลักสูตรฝึกอบรม  : โครงการสัมมนา TU – ASEAN Forum ครั้งที่ 10 เรื่อง “อาเซียน ไทย และมหาอำนาจในยุคแห่งการปฏิรูป”
หน่วยงานผู้จัด  :  ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
 1. เพื่อเพิ่มองค์ความรู้เกี่ยวกับอาเซียนในประเด็นต่าง ๆ
 2. เพื่อให้ทราบถึงยุทธศาสตร์ และเป้าหมายของประเทศมหาอำนาจ อาเซียน และไทย ในการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ :   ความสัมพันธ์อาเซียน ไทย กับ สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่นในสมัยสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาดำเนินยุทธศาสตร์การต่อต้านคอมมิวนิสต์ ความสัมพันธ์ไทย – สหรัฐอเมริกา เป็นไปในลักษณะที่ไทยเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่
ต่อมาเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง เมื่อประมาณ 20 ปี ที่ผ่านมา สถานการณ์ในภูมิภาคได้เปลี่ยนไปอย่างมาก โดยมีการผงาดขึ้นมาของ 3 ผงาด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อภูมิภาคและต่อสหรัฐอเมริกา คือ
 ผงาดที่ 1 คือ การผงาดขึ้นมาของจีน (The sise of China)
 ผงาดที่ 2 คือ การผงาดขึ้นมาของเอเชีย (The rise of Asis) เพราะว่าเอเชียกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก จึงเห็นได้ว่า จีนกำลังผงาด และเกาหลี อินเดีย อาเซียน ญี่ปุ่น ล้วนแล้วเป็นประเทศที่อยู่ในเอเซียทั้งหมด
 ผงาดที่ 3 คือ การผงาดขึ้นมาของอาเซียน (The rise of ASEAN)
ดังนั้น จะเห็นว่าในเอเชียมีแต่การผงาดขึ้นมา ในทางตรงกันข้ามตะวันตกจะมีแต่การเสื่อมลงหรือตกต่ำลง หรืออาจจะกล่าวได้ว่า เอเชียกำลังเป็นช่วงขาขึ้น ในขณะที่ตะวันตกกำลังเป็นช่วงขาลง จากบริบทดังกล่าวทำให้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์จีน – อาเซียน จึงกระชับแน่นแฟ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้จีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของอาเซียนและของไทยด้วย ในเรื่องของการท่องเที่ยว การลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน สร้างถนน รถไฟ ฯลฯ
จากการพัฒนาดังกล่าวจึงทำให้สหรัฐอเมริกากังวลใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าอิทธิพลของตนในภูมิภาคกำลังจะเสื่อมลง และจะไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งอีกต่อไป ดังนั้น ในสมัยรัฐบาลโอบามา ในช่วง 6 ปี ที่ผ่านมาได้วิเคราะห์สถานการณ์และได้ข้อสรุปว่าต้องปรับนโยบายและยุทธศาสตร์ใหม่ ต่อภูมิภาค 4 ยุทธศาสตร์
ดังนี้
1. ความต้องการครองความเป็นเจ้าในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านทหาร เศรษฐกิจ
2. การสกัดกั้น (ถ่วงดุล/ปิดล้อม) การขยายอิทธิพลของจีน
3. การป้องกันไม่ให้ประเทศในเอเชียรวมกลุ่มกันโดยไม่มีสหรัฐอเมริกา
4. เรื่องผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจต่อภูมิภาค
เอเชียจะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก ดังนั้น ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจึงอยู่ที่เอเชีย จึงเห็นได้ว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 สหรัฐอเมริกาพยายามจะกลับมาโดยมีการเข้าร่วมประชุมสุดยอดกับอาเซียนครั้งแรก เพราะมองว่าอาเซียนกลายเป็นกลุ่มประเทศที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค เป็นองค์กรที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค เนื่องจาก GDP ของ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนรวมกันมีมูลค่า 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คืออันดับ 9 ของโลก
สำหรับไทย ในช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกากำลังกระชับความสัมพันธ์กับอาเซียนมากขึ้นนั้น เป็นช่วงเวลาที่ไทยกำลังตกต่ำ วุ่นวายและมีการรัฐประหารในปี ค.ศ. 2006 ทำให้สหรัฐอเมริกาหยุดความสัมพันธ์กับไทย เพราะเป็นกติกา ที่สหรัฐอเมริกาจะไม่เจรจากับรัฐบาลทหาร ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ความสัมพันธ์ไทย – สหรัฐอเมริกา จืดจางลงเรื่อย ๆ เพราะปัญหาการเมือง โดยให้ไทยเดินหน้ากลับคืนสู่ประชาธิปไตย และให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว สหรัฐอเมริกาจึงใช้วิธีย้ายไปที่อื่น เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย
รัฐบาลปัจจุบัน (พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้ตัดสินใจหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นการตัดสินใจแบบเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการฑูต ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมาที่ไทยพยายามมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกมหาอำนาจ ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกากดดันไทยอย่างหนัก และเนื่องจากโลกกำลังเปลี่ยนจากระบบขั้วอำนาจเดียวเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนที่มีอำนาจและบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้น รัฐบาลไทยได้พยายามเข้าหาจีน และมีการตัดสินใจ มีข้อสรุปอย่างรวดเร็วในเรื่องที่จีนจะเข้ามาช่วยสร้างทางรถไฟเชื่อมจากกรุงเทพฯ - เวียงจันทน์ และไปถึงคุนหมิง
 หลังจากนั้นญี่ปุ่นเห็นว่าจีนกำลังทำอะไรอยู่ จึงคิดว่าต้องรีบเข้ามาหาไทยเพื่อที่จะไม่เพลี่ยงพล้ำต่อการรุกคืบของจีน โดยเสนอว่าอยากจะมาช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ไทย และไทยจึงเสนอให้ญี่ปุ่นเข้ามาช่วยสร้างท่าเรือน้ำลึกนิคมอุตสาหกรรมที่ทวาย และทางรถไฟ โดยเชื่อมจากทวาย – กาญจนบุรี – กรุงเทพฯ – กัมพูชา และเวียดนามซึ่งเรียกว่าระเบียงเศรษฐกิจใต้ หรือ southern economic corridor รวมทั้งเส้นระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก   –  ตะวันตก หรือ east – west economic corridor จากเมียวดี – แม่สอด – พิษณุโลก – ขอนแก่น – มุกดาหาร  –  สะหวันนะเขต – ดานัง ต่อมาเกาหลีสนใจและพยายาติดต่ออยากจะเข้ามาติดต่อเพื่อเข้ามามีบทบาทในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้ไทย นอกจากนี้รัสเซียเริ่มขยับเข้ามากระชับความสัมพันธ์กับไทยมากขึ้น โดยขณะนี้รัสเซียมีปัญหากับสหรัฐอเมริกา และตะวันตกในเรื่องยูเครน จึงต้องการหาพันธมิตร เพราะถูกตะวันตกปิดล้อม และไทยก็ต้องการหาพันธมิตรเพราะกำลังถูกสหรัฐอเมริกากดดัน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับไทยจึงเป็นลักษณะที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
จากที่กล่าวมาข้างต้น ในขณะนี้ไทยจึงเน้นเข้าหาจีน เกาหลี รัสเซีย และอาเซียน เพราะประเทศในเอเชียไม่ได้มีปัญหากับไทย และแยกออกระหว่างเรื่องการเมืองภายในและเรื่องการต่างประเทศ

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

สร้างความรู้ความเข้าใจและปลูกจิตสำนึกด้านพลังงาน

ผู้เล่าเรื่อง  :  นางศิริมา  เฟื่องดอกไม้.
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  เจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน
หน่วยงาน :  สำนักงานคลังจังหวัดอุตรดิตถ์
หลักสูตรฝึกอบรม  :  สร้างความรู้ความเข้าใจและปลูกจิตสำนึกด้านพลังงาน
หน่วยงานผู้จัด  :  สำนักงานพลังงานจังหวัดอุตรดิตถ์
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
1) เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้านทิศทางนโยบายและสถานการณ์พลังงานของประเทศ
2) เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงานและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
3) เพื่อให้บุคลากร องค์กร เห็นความสำคัญในการอนุรักษ์พลังงาน
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ
การอนุรักษ์พลังงาน คือ ความพยายามเพื่อลดการใช้พลังงานในระบบลง ซึ่งการอนุรักษ์พลังงานที่ดีจะเป็นการวางแผนในด้านการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานเพื่อการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพร่วมกับการลดความต้องการใช้พลังงานลง ซึ่งการอนุรักษ์พลังงานนี้จะให้ประโยชน์ทั้งทางตรงและอ้อม เช่น เพิ่มรายได้ของระบบ เพิ่มคุณภาพของสิ่งแวดล้อม เพิ่มความมั่นคงทางพลังงานของชาติ
การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้า เป็นส่วนประกอบสำคัญของการวางแผนนโยบายพลังงานของทุกองค์กร โดยการวางแผนที่ดีจะสามารถลดการใช้พลังงานต่อหน่วยการลงทุน ซึ่งทำให้ความต้องการพลังงานไม่สูงมากเกินเมื่อองค์กรขยายและมีการเติบโต ซึ่งสู่ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่มีเหตุผลและสามารถลดความต้องการอุปกรณ์ใหม่เพื่อมารองรับพลังงานในระบบที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันมี อุปกรณ์สำนักงาน หลายประเภทที่ช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานในสำนักงานต่าง ๆ เช่น…คอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร และเครื่องโทรสาร เป็นต้น การทำงานของอุปกรณ์สำนักงานเหล่านี้ เมื่อมีการใช้งานจะมีช่วงเวลาในการอุ่นเครื่อง หรือบางครั้งจะอยู่ในสภาวะรอทำงาน ซึ่งล้วนแต่เป็นช่วงที่สูญเสียพลังงานโยไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ช่วงที่อุปกรณ์เหล่านี้ถูกเปิดใช้งาน จะมีการระบายความร้อนออกสู่ภายนอก ทำให้อุณหภูมิภายในห้องเพิ่มขึ้น หรือเป็นผลให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักสิ้นเปลืองไฟฟ้ามากขึ้นด้วย ดังนั้น เจ้าของสำนักงานและผู้ใช้อุปกรณ์ในสำนักงาน จึงควรร่วมมือกันใช้งานอย่างถูกต้อง เพื่อช่วยกันประหยัดพลังงาน และช่วยลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้กับสำนักงานได้
การประหยัดไฟฟ้า  พลังงานไฟฟ้าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบกิจการต่างๆ การผลิตพลังงานไฟฟ้าให้พอเพียงกับความต้องการใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ในแต่ละปีประเทศไทยได้สูญเสียเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมากในการจัดหาเชื้อ เพลิงและพลังงานมาทำการ ผลิตพลังงานไฟฟ้า แม้ว่าความพยายามในการลดสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังมีสัดส่วนที่สูงอยู่ ดังนั้นการประหยัดพลังงานจึงยังคงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่ทุกส่วนฝ่ายควรให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นกิจการธุรกิจระดับต่างๆหรือผู้ใช้ไฟฟ้าตามบ้านเรือนทั่วไป  สำหรับการใช้ไฟฟ้าในบ้านอยู่อาศัยนั้น ส่วนใหญ่จะใช้เพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจากการประเมินศักยภาพในการประหยัดไฟฟ้าปรากฏว่าในส่วนของบ้านอยู่อาศัย เป็นส่วนที่มีโอกาสลดค่าใช้จ่าย ในการใช้ไฟฟ้าลงได้อีกมาก เพราะในปัจจุบัน มีการใช้ไฟฟ้าอย่างสิ้นเปลืองในครัวเรือนโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากขาดความรู้และไม่ทราบถึงวิธีการที่จะประหยัดการใช้
สรุปได้ว่า: พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จำเป็นต่อชีวิตมีผลต่อความเป็นอยู่ตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับประเทศและทั่วโลก  การประหยัดไฟฟ้าไม่ใช่เป็นเรื่องยาก เพียงแต่ขอให้มีความตั้งใจจริงบวกกับความอดทนบ้างเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเกิดความเคยชินในการปฏิบัติก็จะเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้แก่ ครอบครัวรวมทั้งยังเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอีกด้วย