วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

การถ่ายภาพเพื่อการประชาสัมพันธ์และการออกแบบสื่อสมัยใหม่



ผู้เล่าเรื่อง  :  นายพงศักดิ์  แถมเดช
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วยงาน :  กรมบัญชีกลาง  สำนักบริหารการรับ-จ่ายเงินภาครัฐ…ส่วน 1
หลักสูตรฝึกอบรม  : การถ่ายภาพเพื่อการประชาสัมพันธ์และการออกแบบสื่อสมัยใหม่
หน่วยงานผู้จัด  :  กระทรวงการคลัง
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม 
๑) เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้การใช้กล้องถ่ายรูปและเทคนิคการถ่ายภาพ
๒) เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้การออกแบบสื่อสมัยใหม่
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ :  การถ่ายภาพเพื่อการประชาสัมพันธ์และการออกแบบสื่อสมัยใหม่
1. การถ่ายภาพ
ความเร็วชัตเตอร์ (S,TV)
ความเร็วชัตเตอร์
เป็นการกำหนดระยะเวลาในการบันทึกภาพ ซึ่งกลไกของกล้องจะมีแผ่นเลื่อนเปิดปิดอยู่หน้าฟิล์ม (หรือแผ่นรับแสง CCD ในกรณีของกล้องดิจิตอล) เรียกว่าชัตเตอร์ สามารถเปิดและปิดเพื่อเปิดให้แสงเข้าไปบันทึกภาพตามระยะเวลาที่เราตั้งความเร็วชัตเตอร์ เราต้องเลือกให้เหมาะสมกับวัตถุที่ต้องการถ่ายภาพ โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง เช่น การถ่ายภาพจากแหล่งแสงที่มีแสงน้อย เช่น แสงเทียน ต้องเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์หลายวินาที ส่วนการถ่ายภาพกลางแจ้ง มีแดดจัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงกว่า เช่น 1/500 วินาทีเป็นต้น
ปัจจัยอื่นที่สำคัญคือ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ เช่น การถ่ายภาพรถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ต้องการให้ภาพคมชัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่ทำได้ โดยสัมพันธ์กับขนาดรูรับแสงที่เลือก เช่น ตั้งความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/4000 วินาที เป็นต้น
ขนาดรูรับแสง (A,AV)
ขนาดรูรับแสง
กล้องส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์บังคับให้แสงผ่านเลนส์มากหรือน้อย โดยใช้แผ่นกลีบโลหะซึ่งติดตั้งอยู่ในตัวเลนส์เป็นการกำหนดปริมาณแสงผ่านเลนส์ได้มากหรือน้อย โดยวิธีเปิดรูเล็กสุด เช่น f/22 และค่อยๆใหญ่ขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเปิดเต็มที่ เช่น f/1.4 แต่ขนาดเปิดเต็มที่จะขึ้นกับขนาดชิ้นเลนส์ด้วย เลนส์ราคาสูงที่มีเลนส์ชิ้นหน้าขนาดใหญ่ จะรับแสงได้มากกว่า ซึ่งหมายถึงเปิดรูรับแสงเต็มที่ได้กว้างกว่า เช่น f/1.2 สำหรับการถ่ายภาพจะเลือกใช้ขนาดรูรับแสงใด โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง ถ้าแสงมากมักจะใช้ขนาดรูรับแสงเล็ก เช่น f/11 ถ้าแสงน้อยมักจะใช้ขนาดรูรับแสงใหญ่ เช่น f/2 เป็นต้น
ปัจจัยอื่นที่สำคัญ คือ ความชัดลึก
ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วชัตเตอร์กับขนาดรูรับแสง
การตั้งความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสง ต้องมีความสัมพันธ์กัน เพื่อให้ได้ปริมาณแสงที่พอเหมาะในการบันทึกภาพ ซึ่งในสภาพแสงเดียวกัน และเลือกค่าความไวแสงเท่ากัน สามารถตั้งค่าที่เหมาะสมได้หลายค่า
การตั้งความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสง
การเลือกคู่ที่เหมาะสมตามตัวอย่างในหัวข้อ ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วชัตเตอร์กับขนาดรูรับแสง ให้พิจารณาได้จากปัจจัยต่างๆดังนี้
1. ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุที่จะถ่าย
วัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว แต่เราต้องการภาพชัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่กล้องจะทำได้ แต่ถ้าเป็นวัตถุที่อยู่นิ่งนั้น สามารถเลือกความเร็วชัตเตอร์เท่าไรก็ได้
2. ความชัดลึกของวัตถุที่จะถ่าย
ขนาดรูรับแสงเล็ก เช่น f/22 จะให้ความชัดลึกมากกว่าขนาดรูรับแสงกว้าง เช่น f/1.4 ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมากในการถ่ายภาพระยะใกล้ หรือใช้เลนส์ถ่ายไกลในการถ่ายภาพ
การชดเชยแสง (EV+/-)
การชดเชยแสง
เป็นการปรับปริมาณแสงในการบันทึกภาพให้แตกต่างไปจากค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสง เช่น การถ่ายภาพย้อนแสงนั้น ค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสง มักจะได้ค่าที่ทำให้วัตถุค่อนข้างมืด การชดเชยแสง โดยเพิ่มแสงมากกว่าที่วัดแสงได้ หรืออีกกรณีหนึ่งคือ การถ่ายภาพวัตถุที่อยู่หน้าฉากหลังสีดำ ค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสงมักจะได้ค่าที่ทำให้วัตถุค่อนข้างสว่างเกินไป การชดเชยแสงทำได้โดยลดแสงให้น้อยกว่าที่วัดแสงได้ เป็นต้น
โดยทั่วไปกล้องมีระบบชดเชยแสงสำเร็จรูป หรือเรียกว่าการปรับ EV อยู่แล้ว โดยตามหลักการกล้องจะไปปรับ ความเร็วชัตเตอร์ หรือปรับรูรับแสง เพื่อให้ภาพสว่าง หรือมืดลงกว่าที่วัดแสง หรือเราสามารถไปปรับที่ parameter ดังกล่าวได้โดยตรง
การเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสงเพื่อชดเชยแสง
ในการชดเชยแสงนั้น นิยมปรับเปลี่ยน เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งคือความเร็วชัตเตอร์ หรือ ขนาดรูรับแสง หลักการชดเชยแสงก็มีเพียงสองทาง คือ เพิ่มแสง หรือลดแสง
การเพิ่มแสง
การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์ คือ การลดความเร็วชัตเตอร์ลง เช่น วัดแสงได้ 1/500 วินาที เพิ่มแสง 1 ระดับก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/250 ยึดหลักว่าถ้าชัตเตอร์ปิดช้าลงก็จะต้องได้แสงมากขึ้นแน่นอน หากเพิ่มแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสงก็ต้องเพิ่มขนาดรูรับแสงให้ใหญ่ขึ้น เช่น วัดแสงได้ f/4 เพิ่มแสง 1 ระดับก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/2.8
การลดแสง
การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์ คือ การเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ เช่น วัดแสงได้ 1/500 วินาที ลดแสง 1 ระดับ ก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/1000 คือให้ชัตเตอร์ปิดเร็วขึ้นเท่าตัวนั่นเอง หากลดแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสง ก็ต้องลดขนาดรูรับแสงให้เล็กลง เช่น วัดแสงได้ f/4 ลดแสง 1 ระดับ ก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/5.6
การเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เหมาะสมกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น ให้พิจารณาดังนี้
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
แบ่งทิศทางการเคลื่อนที่เป็น 2 ลักษณะ คือเคลื่อนที่เข้าหา/ออกห่างกล้อง หรือ เคลื่อนที่ผ่านกล้องจากซ้ายไปขวาหรือกลับกัน โดยที่การเคลื่อนที่เข้าหาหรือออกห่างจากกล้องนั้นสามารถเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำว่าการเคลื่อนที่ผ่านกล้อง เช่น รถยนต์ที่ขับด้วยความเร็วด้วยความเร็ว 60 กม./ชม.เท่ากัน ที่เคลื่อนที่เข้าหากล้อง อาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/125 แต่ถ้าเคลื่อนที่ผ่านกล้อง อาจต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ถึง 1/500
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ
วัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว เช่น รถแข่ง ควรเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดที่กล้องสามารถทำได้ ส่วนคนเดิน สามารถใช้ความเร็วที่น้อยกว่าได้ อย่างไรก็ตาม การถ่ายภาพวัตถุเคลื่อนที่ ควรเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่สภาพแสงอำนวย
ผลลัพธ์หยุดนิ่งหรือดูแล้วเคลื่อนไหว
การสร้างสรรภาพบางแบบ นิยมให้ภาพดูแล้วมีลักษณะเบลอแบบเคลื่อนไหว เพื่อให้ผู้ชมภาพมีความรู้สึกว่า มีความเคลื่อนไหวในภาพ อาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้ากว่าปกติได้ เช่น รถแข่ง อาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/15 พร้อมกับเล็งกล้องติดตามรถแข่งไปด้วยขณะที่กดปุ่มชัตเตอร์ หากฝึกให้ดีแล้วจะได้ภาพที่รถแข่งชัดบางส่วน ส่วนฉากหลังจะมีลักษณะเป็นลายทางให้ความรู้สึกถึงความเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
ความชัดลึก
อันนี้เป็นคุณสมบัติเรื่องของเลนส์เป็นหลักเลยครับ ปัจจัยที่มีผลต่อเรื่องนี้คือขนาดรูรับแสง
ขนาดรูรับแสงที่เล็กจะชัดลึกกว่า ขนาดรูรับแสงใหญ่ เช่น ถ้าเราถ่ายภาพระยะใกล้ เช่น ถ่ายดอกชบา 1 ดอกแบบเต็มภาพทางด้านหน้า เราจะเห็นว่าเกสรดอกจะอยู่ใกล้กล้องมากที่สุด กลีบดอก และก้านดอกจะอยู่ลึก หรือไกลกล้องออกไป หากเราต้องการถ่ายภาพให้ชัดทั้งหมดตั้งแต่เกสรดอกจนถึงก้านดอก นี่แหละคือสิ่งที่เราเรียกว่าความชัดลึก ซึ่งต้องใช้รูรับแสงขนาดเล็กไว้ ในทางกลับกันหากเราใช้รูรับแสงใหญ่ จะเรียกว่าชัดตื้น มักใช้ในกรณีที่เราต้องการให้ฉากหลังมีความคมชัดน้อยกว่าวัตถุ เพื่อเน้นให้วัตถุเด่นขึ้นมา มักจะพบบ่อยในการถ่ายภาพแฟชั่น หรือการถ่ายบุคคลเฉพาะใบหน้า
ขนาดความยาวโฟกัสของเลนส์
เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสน้อย เช่น 28 มิลลิเมตร จะมีความชัดลึกมากกว่าเลนส์ 300 มิลลิเมตร ดังนั้นใครที่ต้องการถ่ายภาพให้ชัดลึกก็ต้องเลือกความยาวโฟกัสให้น้อยเข้าไว้ เช่นการถ่ายภาพทิวทัศน์ ส่วนงานถ่ายภาพแฟชั่น มักจะใช้ขนาดความยาวโฟกัสมาก ทำให้ฉากเบลอเน้นที่นางแบบให้เด่นครับ
ระยะห่างระหว่างกล้องถึงวัตถุ
ระยะห่างมากจะชัดลึกกว่า ระยะห่างน้อย เราจะเห็นว่าเวลาเราถ่ายภาพวิว ซึ่งเป็นระยะไกลๆ ภาพมักจะชัดทั้งภาพ แต่ถ้าเราถ่ายภาพดอกไม้ในระยะใกล้ๆ ภาพมักจะไม่ชัดทั้งภาพ จะชัดเพียงบางส่วน ตามที่เราตั้งโฟกัสไว้ พอรู้อย่างนี้แล้ว ครั้งต่อไปที่ถ่ายภาพดอกไม้ระยะใกล้อย่าลืมใช้ขนาดรูรับแสงแคบๆนะครับ ซึ่งกล้องสมัยนี้ สามารถถ่ายได้อยู่แล้วในโหมดที่เรียกว่า Macro(มาโคร)
การวัดแสงเพื่อการถ่ายภาพ
เทคนิคการวัดแสงขั้นพื้นฐาน ให้พิจารณาจากปัจจัยสำคัญดังนี้
แหล่งต้นกำเนิดแสง
กล้องปัจจุบันสามารถปรับสมดุลย์สีขาว (White balance) ได้อัตโนมัติ ผู้ใช้กล้องทั่วไปจึงไม่ได้ให้ความสำคัญในส่วนนี้ แต่แท้จริงแล้วเป็นส่วนสำคัญที่จะได้ภาพที่มีสีสรรถูกต้อง เนื่องจากฟิล์มถูกผลิตมาให้เหมาะสมกับอุณหภูมิสีของแสงตามที่ออกแบบมา เช่น แสงอาทิตย์ (Daylight) หรือแสงจากหลอดไส้ หรือแสงจากหลอดนีออน เป็นต้น หากเป็นกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ มักจะออกแบบมาให้สามารถปรับเปลี่ยนชนิดแหล่งต้นกำเนิดแสงได้ แม้ว่ากล้องจะมีปุ่มปรับสมดุลย์สีขาวอัตโนมัติ (Auto White balance) มาแล้วก็ตาม แต่บางครั้งการทำงานของระบบอัตโนมัติก็ไม่ถูกต้องนัก ซึ่งเราจะเห็นได้จากจอ LCD ว่าสีเพี้ยน หากเป็นเช่นนี้เราก็ต้องปรับตั้งแหล่งต้นกำเนิดแสงด้วยตนเอง เช่น แสงอาทิตย์ / แสงอาทิตย์มีเมฆมาก / แสงอาทิตย์ใต้อาคาร / แสงจากหลอดไส้ / แสงจากหลอดนีออน / ตั้งสมดุลย์สีขาวเอง (Custom) หากเราลองเปลี่ยนสมดุลย์สีขาวชนิดต่างๆในกล้องแล้วยังได้สีไม่ตรงตามความเป็นจริง เราต้องใช้วิธีตั้งสมดุลย์สีขาวเอง ซึ่งวิธีการจะแตกต่างกันไปในกล้องแต่ละยี่ห้อ ซึ่งวิธีการโดยทั่วไปจะต้องใช้กระดาษสีขาวมาวางไว้ภายใต้สภาพแสงขณะนั้น แล้วเลือกตั้งสมดุลย์สีขาวเอง จากนั้นส่องกล้องให้เห็นกระดาษสีขาวเต็มจอ กดปุ่ม Set เพื่อให้กล้องอ่านอุณหภูมิสีขณะนั้น กล้องจะปรับแก้ให้เราเห็นกระดาษขาวเป็นสีขาวจริงๆ ผ่านจอ LCD เป็นเสร็จพิธี แล้วก็ถ่ายภาพที่มีสีถูกต้องในสภาพแสงนั้นได้ตลอด หากออกจากสภาพแสงนั้นแล้วอย่าลืมเปลี่ยนสมดุลย์สีขาว หรือตั้งค่าใหม่ด้วยนะครับ
 ทิศทางของแสง
การถ่ายภาพแบบพื้นฐานนั้น เราจะเน้นแต่แสงธรรมชาติกับแสงจากแฟลช แบ่งเป็นแสงส่องวัตถุคือแสงส่องหน้าแบบของเรา ซึ่งแสงจากแฟลชก็เป็นแสงแบบนี้แสงหลังหรือที่เรียกว่าย้อนแสง แสงข้าง แสงบนเช่นตอนเที่ยงวัน การวัดแสงควรวัดแสงที่วัตถุเท่านั้นจะได้ค่าการวัดแสงที่ถูกต้องที่สุด ในกรณีแสงข้าง ควรวัดแสงเฉลี่ยด้านมืดกับด้านสว่าง แต่ถ้าเราต้องการภาพเชิงศิลป์ออกโทนมืดๆหน่อย ให้วัดแสงที่ด้านสว่าง กรณีนี้ต้องใช้กล้องที่สามารถปรับวิธีวัดแสงแบบเฉพาะจุด (Spot) จะได้ไม่ต้องเข้าใกล้ขนาดจ่อหน้านางแบบมาก ขอเสริมเทคนิคให้สำหรับกล้องที่ไม่สามารถปรับวิธีวัดแสงแบบเฉพาะจุดได้ ให้ใช้วิธีวัดแสงกับมือของตากล้องนี่แหละครับ ดูแปลกๆหน่อยแต่ก็ช่วยให้วัดแสงได้แม่นยำขึ้นนะครับ โดยหลักการแล้ว กล้องแบบนี้จะวัดแสงเฉลี่ย ดังนั้นช่างภาพยกมือเราขึ้นมาทำให้แสงที่ตกบนมือเราเหมือนกับที่หน้านางแบบ เช่น แสงข้าง ก็ต้องกำมือปรับมุมข้อมือให้แสงตกบนหลังมือเราเหมือนแสงที่หน้านางแบบ แล้วเอากล้องจ่อที่มือเราแล้ววัดแสง เราอาจเน้นด้านสว่าง ก็จ่อกล้องที่ด้านสว่าง หรือเน้นที่ด้านมืด ก็จ่อกล้องที่ด้านมืด แต่ถ้ากล้องของเราทำการตั้งระยะชัดพร้อมกับวัดแสงด้วย แบบนี้ใช้ไม่ได้นะครับ เพราะระยะชัดไม่ถูกต้องครับ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่หมดหนทางครับ แต่เราต้องเตรียมกระดาษสีเทาใบใหญ่กว่า A4 ก็ดีครับ ให้นางแบบถือไว้โดยปรับมุมของกระดาษสีเทานี้แสงตกกระทบในมุมเดียวกับหน้านางแบบ แล้ววัดแสงที่กระดาษสีเทาก็ได้จะได้ค่าแสงที่เหมาะสมครับ
ความเปรียบต่างของแสงส่องวัตถุกับแสงหลัง
เช่นกรณีการถ่ายย้อนแสงโดยที่นางแบบอยู่ในร่มเงา ฉากหลังเป็นหาดทรายสีขาว แบบนี้ถ้าวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพ ผลลัพธ์ก็จะออกมามืดไป เพราะเครื่องวัดแสงของกล้องจะโดนหลอกจากแสงหลังที่มาจากหาดทรายว่าแสงมาก จึงให้ค่าการวัดแสงที่ต่ำเกินไปคือถ่ายออกมาแล้วมืดไป เราต้องใช้วิธีวัดแสงเฉพาะจุดที่หน้านางแบบ แต่วิธีนี้ก็ให้ผลเสียคือ ฉากหลังจะขาวเกินไปจนอาจมองไม่ออกเลยว่าถ่ายที่ไหน วิธีนี้แนะนำให้เปิดแฟลชเพื่อลบเงาที่หน้านางแบบ แฟลชที่ติดมากับกล้องจะได้ผลน้อย แต่ก็ดีกว่าไม่เปิด ท่านที่มีแฟลชเสริมขอให้หยิบมาใช้เลยครับ ภาพแจ่มทั้งนางแบบและฉากหลังเลยครับ การวัดแสงมีเรื่องให้กล่าวถึงมากมายครับ ขอให้ติดตามต่อในเรื่องของการถ่ายภาพแบบพิเศษ
2. การเรียนรู้ Photoshop เบื้องต้น
เครื่องมือ
Zoom tool
- Zoom In  " Ctrl + + "
- Zoom Out " Ctrl + - "
Hand tool  (เลื่อนภาพ)
-  Spacebar
เพิ่ม   - Fit  "Ctrl + 0"
- 100% "Ctrl + 1"
ขนาดภาพ  เมนู Image > Image Size
- Pixel Dimension :  งาน Digital
- Document Dimension : งานพิมพ์
- Resolution  จำนวน pixel / 1 ตารางนิ้ว
งานทั่วไป  72 dpi
งานสิ่งพิมพ์ 300 dpi
-------------------------------------------------------
New File
- name
- preset ค่าสำเร็จรูป (paper 300 dpi , web 72 dpi)
- size  เปลี่ยนค่า และหน่วยวัดได้
Preset งาน Web
ปกติ สัดส่วน 4:3 เช่น 1024x768 , 1280x960
สัดส่วน 16:9 ต้องแก้ไขเอง
HD  1280x720
Full HD 1920x1080
--------------------------------------------------------------
ลงสี
Foreground : สีเพิ่ม เช่น Brush
Background : สีลบ  เช่น Eraser
- ขนาดหัวแปรง กด [,บ  ย่อ   ...  ],ล  ขยาย
- กรณี Brush กด Atl = eyedropper ชั่วคราว
เพิ่มเติม
การดูสีจากภาพ
วิธี 1: ใช้โปรแกรมเสริม ชื่อ Pickpic.org (ตอนติดตั้งระวังด้วย)
วิธี 2: Photoshop
step 1: เปิดภาพสีต้นแบบ
step 2: คลิ๊กผสมสี FG , BG
step 3: ใช้เมาส์ดูดสีจากภาพได้เลย
ผสมสีใหม่
วิธี : คลิ๊ก FG , BG
มี 3 ส่วน   1) สีรุ้ง  ค่า Hue เฉดสี
   2) ลากแนวนอน ค่า Saturate ระดับสี
   3) ลากแนวตั้ง Brightness ความสว่าง
ย้อนกลับคำสั่ง
- undo , redo  ทำได้ 1 ครั้ง  "Ctrl + Z"
- step Forward ทำได้หลายครั้ง  Shift + Ctrl + Z
- step Backward ทำได้หลายครั้ง  Alt + Ctrl + Z
* ทำได้ตามขั้นตอนใน History ปกติได้ 20 ขั้นตอน
* set เพิ่ม "Ctrl + K" > Performance
------------------------------------------------------
เมนู Edit > Fill  "Shift + F5" ลงสีทั้งหน้า
- สี FG  : Alt + Del
- สี BG  : Ctrl + Del
---------------------------------------------------
Pattern
ลงลาย Patter
เมนู Edit > Fill  : เลือก Use เป็น Patter แล้วเลือกลาย
Option Pattern
เลือกลาย ให้คลิ๊กไอคอน เฟือง
- reset , load , save ได้
- เลือก Library เพิ่มเติมได้
-----------------------------------------------------
การปรับสีภาพ Adjustment
เมนู Image > Adjustment
ส่วนที่ 1 : ปรับแสงภาพ
1. Levels ปรับโทนภาพ ขาว เทา ดำ
ปรับได้ 4 วิธี
วิธี1 : ลากตำแหน่งจุด ดำ เทา ขาว
วิธี2 : ใช้ปรอทจิ้มจุด ขาวสุด-ดำสุด
วิธี3 : คลิ๊กปุ่ม auto
วิธี4 : เมนู Imgage > auto tone
โปรแกรมจะหาจุดขาวสุด-ดำสุด อัตโนมัติ
2. Curve
เหมือน Level แต่ปรับเทาได้ละเอียดกว่า
3. Brightness / Contrast
Brightness ปรับความสว่าง
Contrast ปรับค่าสีเทา (โทนกลาง)
4. Exposure
จำลองปรับรูรับแสงภาพ
ส่วนที่ 2
1. Vibrance
- เพิ่ม-ลดสีภาพ เน้นสีโทนกลาง
- สวยกว่า Saturation แต่สีไม่สดเท่า
2. Hue / Saturation
- Hue  เปลี่ยนเฉดสี
- Saturation  ปรับระดับสี
- Lightness เพิ่มสีขาว-ดำ
3. Color Balance
แก้ไขภาพสีเพี้ยน
- ให้เพิ่มคู่สีตรงข้าม
- มี 3 ระดับ shadow mintone highlight
4. Black/White
เปลี่ยนภาพสี เป็นภาพขาวดำ สามารถลากที่ภาพ ปรับน้ำหนักแต่ละเฉดสีได้
เพิ่ม
Shadow/Highlight
กรณีถ่ายภาพย้อนแสง
สามารถปรับส่วนเงามืด และส่วนสว่างจ้า
----------------------------------------------
Layer : เป็นการแบ่งภาพออกเป็นชั้นๆ
- Layer เดียวกัน   "แก้ไขงานไม่ได้"
- Layer แยกกัน "แก้ไขงานได้"
*** ไฟล์ต้นฉบับ ต้องแยก Layer
-----------------------------------------------------
รวมภาพ
step 1: เปิดหลายๆ ภาพ
step 2: แสดงภาพคู่กัน move tool โดยลากชื่อภาพออกมาเป็นหน้าต่างย่อย
step 3: Move tool คลิ๊กเลือกภาพก่อน
แล้วลากภาพไปทันกัน
** โปรแกรมแยก Layer auto
tool เพิ่มเติม : Magic Eraser สำหรับลบพื้นที่ตามสีภาพ
----------------------------------------------------------
คุณสมบัติ Layer
1. Layer ทั่วไป (ไม่ล๊อค)
- move ได้ (Ctrl = auto select)
- จัดลำดับได้  (Ctrl+[ , Ctrl+])
- ปรับ Option ได้ เช่น Opacity ค่าความทึบ/โปร่ง
2) Layer Background (ล๊อค)
- move ไม่ได้
- ลำดับล่างสุด
- ปรับ Option ไม่ได้
*** ปลดล๊อค : ดับเบิ้ลคลิ๊ก Layer Background
----------------------------------------------------
การเซฟภาพ
1. เมนู File > Save
.Psd , .Tif  - แยก Layer ได้
อื่นๆ เช่น jpg , png , bmp , gif  - รวม Layer auto
--------------------------------------------
เมนู Edit > Free Transform "Ctlr+T"
- ย่อขยายภาพใน Layer
- move
- scale (Shift = ล๊อคสัดส่วน)
- Rotate (Shift = snap 15 องศา)
- เสร้จแล้ว Enter , ยกเลิก กด ESC
----------------------------------------------------------
ปัญหา : ย่อภาพแล้ว ขยายกลับ ภาพจะเบลอ
แก้ไข : ใช้ Smart Object
วิธี : คลิกขวาที่ชื่อ Layer > Convert to Smart obj
ข้อดี : ภาพเก็บที่อื่น ย่อแล้ว ขยายได้
ข้อเสีย : ภาพเก็บที่อื่น แก้ไขตรงๆ ไม่ได้
- แก้ไขภาพ ต้องดับเบิ้ลคลิ๊กภาพใน Layer โปรแกรมจะเปิดภาพ .psb ให้แก้ไขแล้ว save ได้
- ยกเลิก : คลิ๊กขวาที่ชื่อ Layer > Rasterize Layer
--------------------------------------------------------
copy layer : ใช้ move tool + กด alt ค้าง แล้วย้ายภาพ
---------------------------------------------------------
Selection กำหนดพื้นที่แก้ไข
สร้าง : ใช้เครื่องมือ Marquee tool (4เหลี่ยม,วงกลม)
ใช้เครื่องมือ Lasso tool (ทรงอิสระ)
- Polygon Lasso tool (ทรงหลายเหลี่ยม)
*backspace ย้อนกลับที่ละจุด


Option ด้านบน
new (ปกติ) : สร้างพื้นทีใหม่ , ย้าย Selection เดิมได้
add (Shift) : เพิ่มพื้นที่
subtract (Alt) : ลบพื้นที่

Free Transform เพิ่มเติม
คลิ๊กขวา ขณะ Free Transform อยู่
- Skew ดึงมุมภาพ ในระนาบเดิม
- Distort ดึงมุมภาพ อิสระ
- Perspective ดึง 2 ข้าง พร้อมกัน
- Warp ดัดแบบตาข่าย
L ปรับรูปทรงที่ Option bar
L ปรับค่า Bend โดยลากที่จุดตรงตาข่ายได้เลย
----------------------------------------------------------
เมนู File > Save for web
เซฟสำหรับงานทั่วไป digital
GIF
- 256 สี
- พื้นโปร่งใส (ไม่สวย)
JPG
- 16 ล้านสี
- พื้นทึบ
- กำหนด quality ได้
PNG 24
- 16 ล้านสี
- พื้นโปร่งใส่ (สวย)
-----------------------------------------------------
Blend mode ลูกเล่นสีระหว่าง Layer
วิธี : เลือก Layer ที่ต้องการ แล้วเปลี่ยน Normal
Normal : ปกติ ไม่มีลูกเล่นสี
Multiply : ลบสีขาว (ใช้กับภาพสี = สีโปร่งใสได้)
Screen : ลบสีดำ
Overlay : ลบสีเทา
Color : ย้อมสีภาพ
Hue : เปลี่ยนส่วนที่เป็นเนื้อสีภาพ แนะนำสีแดง
----------------------------------------------------------
เพิ่ม :
ปรับสีภาพ เมนู Image
Invert "ctrl+i"  = กลับสีตรงข้าม เช่น ขาว<->ดำ
----------------------------------------------------------
Brush การใช้หัวแปรง
- ปรับขนาด กด [,บ = ย่อ   ],ล = ขยาย
- ปุ่ม Option สามารถ reset,load,save ได้
----------------------------------------------------------
Gradient ไล่เฉดสี
ลงสี : ใช้ Gradient tool  คลิ๊ก+ลาก ที่ภาพ
เลือกสี : ที่ Option bar + เลือกรูปแบบได้ด้วย
แบบ reset นิยมใช้ 3 ตัวแรก
1. FG / BG ไล่สี ระหว่าง FG ไป BG , ไล่เฉด 2 สี
2. FG to Transparent ไล่สี FG ไปโปร่งใส
3. ดำ ไป ขาว
แก้ไขสี
วิธี : คลิ๊กแถบสี ที่ Option bar เปิด Gradient editor
ปรับเม็ดสีด้านล่าง
- ลากย้ายได้
- เปลี่ยนสี ดับเบิ้ลคลิ๊ก
- เพิ่มสี คลิ๊กที่ว่างระหว่างเม็ดสี
- ลบสี คลิ๊กเม็ดสี + ลากลง
- ปุ่ม New  จัดเก็บสีไว้ได้
----------------------------------------------------------
Layer Mask : การซ่อน/แสดงภาพใน Layer
ข้อดี : สามารถแก้ไขภาพได้ตลอดเวลา
step 1 : รวมภาพแยกเป็น Layer
step 2 : เลือก Layer บน แล้วคลิ๊กปุ่ม
" Add Layer Mask " จะมีภาพสีขาวเพิ่มใน Layer
step 3 : ใช้ Brush ระบายสีขาว/ดำ
สีขาว : แสดงภาพ
สีดำ : ซ่อนภาพ
ทวน key :  "d" สี defaule ขาว/ดำ  "x" สลับสี fg/bg
ยกเลิก
ลากภาพขาว/ดำ ทับ icon ถังขยะ
- Apply : ลบภาพที่ซ่อน
- delet : ยกเลิก
---------------------------------------------------------
Layer Mask เพิ่มเติม
กรณี สร้าง Selection ไว้ แล้วกด Layer mask
โปรแกรมจะลงสี ขาว-ดำ auto
- Select : สีขาว
- ไม่ Select : สีดำ
--------------------------------------------------------
Quick Selection tool
สำหรับสร้าง Select พื้นทีสีใกล้เคียงกัน แบบเร็วๆ
เช่น เสื้อ , ใบหน้า
-----------------------------------------------------------
Workshop : ภาพผู้หญิงใส่หน้ากาก
Workshop : เอาหน้าโดมใส่ iron man
เพิ่มปรับสีภาพ
เมนู Image > Adjustment
- Invert "ctrl+i"  ปรับสีตรงข้าม
- Brightness / Contrast ปรับความสว่าง
- Hue/Saturate  เปลี่ยนสี/ลดสีภาพ
-------------------------------------------------------
การเกลี่ยภาพต่อกัน
concept  ใช้ Gradient ร่วมกับ Layer Mask
step 1: รวมภาพแบบแยก Layer
step 2: คลิ๊กปุ่ม Add Layer Mask
step 3: ลงสี Gradient
- สีดำ->ขาว
- รูปแบบ Linear เส้นตรง
step 4: ขยายพื้นที่ภาพ เมนู Image > Canvas Size
- กำหนดขนาด
- กำหนดตำแหน่งภาพเดิม (ตรงลูกศร)
- กำหนดสี Background
--------------------------------------------------
ย้อมสีภาพด้วย Layer (blend mode : color)
step1 : สร้าง Layer ใหม่ อยู่บนสุด
step2 : ลงสี หรือ Gradient ตามต้องการ
step3 : เปลี่ยน blend model
- normal  ปกติ
- Color ย้อมสี
---------------------------------------------------
การต่อภาพ Panorama (ต้องเตรียมภาพมาแล้ว)
step1: เมนู File > Automate > Photomerge
step2: ปุ่ม Browse เลือกไฟล์ภาพ
step3: กด Ok โปรแกรมจะต่อภาพอัตโนมัติ
--------------------------------------------------------
Content aware เติมภาพอัตโนมัติ
step1 : รวมภาพให้เป็น Layer เดียว
1.1 เลือก Layer
1.2 คลิ๊กขวาที่ชื่อ Layer เลือก Merge Layer
step2 : สร้างพื้นที่ Selection ใช้ Magic wand
- ขยายพื้นที่ เมนู Select > Modify > expand
step3 : เมนู Edit > Fill
เลือก User : Content aware
step4 : ยกเลิก Selection "ctrl+d"
-ทบทวนการปรับสี
วิธี 1 : ใช้ Blend mode เป็น Hue
วิธี 2 : ใช้ Adjustment Layer "Hue"
(แก้ไขบางส่วน ใช้ Layer Mask ระบายสีดำ)
การใช้ Refine Edge : di-cut ตัดภาพ
step 1 : เตรียมภาพ (พื้นหลังต้องไม่รกเกินไป)
step 2 : Selection ส่วนที่ต้องการ
ใช้ Quick Selection tool
step 3 : เมนู Select > Refine edge
3.1 View เปลี่ยนการแสดงผล
3.2 Edge Detection : ระบายตามขอบภาพ เช่น ผม
3.3 Adjust Edge : ปรับแต่งขอบ
- Contrast : ทำให้ขอบคมชัดขึ้น
- Shift Edge : เพิ่ม-ลดพื้นที่
3.4 Output
- ปกติ : Selection
- ซ่อนภาพ ให้เลือกเป็น Layer Mask
----------------------------------------------------------
Clone Stamp
copy ภาพแบบระบาย
step 1 : เตรียมภาพ
step 2 : ใช้ Clone Stamp tool
- กด Alt ค้าง + คลิ๊กตำแหน่งต้นแบบ
step 3 : ระบายส่วนที่ต้องการลบ
step 4 : ทำซ้ำๆ ระหว่าง Step 2 และ 3
Healing Brush
- เหมือน Clone Stamp
แต่โปรแกรมเกลี่ยสี อัตโนมัติ
Spot Healing Brush tool
- มีลูกเล่น Content-aware ระบายส่วนที่ต้องการลบได้เลย โปรแกรมเติมภาพ Auto
 ปรับสีด้วยการระบาย
Dodge tool ระบายให้ภาพสว่างขึ้น
Burn tool ระบายให้ภาพคล้ำลง
Sponge tool ระบายเพิ่มลดสี
เมนู Filter > Liquefy
ปรับสัดส่วนภาพด้วยการระบาย
1. ดึงภาพ ด้วยการระบาย
2. ย้อนกลับ ด้วยการระบาย
3. ทำให้ภาพเล็กลง
4. ทำให้ใหญ่ บวมขึ้น
-------------------------------------------------------
Layer Styles
ลูกเล่น Layer (ใช้กับ Layer Background ไม่ได้)
- Drop Shadow  ปรับเงา
- Glow เรืองแสง
- Stroke ใส่เส้นขอบ

------------------------------------------------------
ภาษาไทย กับ โปรแกรม Adobe
ปัญหาภาษาไทย
1.สระลอย
แก้ไข : ใช้ Font เวอร์ชันใหม่
unicode , opentype
ลิขสิทธ์  : PSL , DB
2. ตัดคำไทย
กรณี พิมพ์ข้อความแล้วขึ้นบรรทัดใหม่อัตโนมัต
อ่านรู้เรื่อง : ตัดคำได้
อ่านไม่รู้เรื่อง : ตัดไม่ได้
Photoshop , Illus : ตัดไม่ได้
InDesign : ตัดได้
3.วรรณยุกต์ผิดตำแหน่ง
วรรณยุกต์จะทับสระ ไม่ลอยขึ้น
- เป็นบ้าง Font
-----------------------------------------------------
การพิมพ์ข้อความ
- ใช้ Type Tool คลิ๊กที่ภาพ แล้วพิมพ์
- โปรแกรมสร้าง Layer ใหม่ อัตโนมัติ
การแก้ไขข้อความ
- ใช้ Type Tool คลิ๊กให้โดนข้อความ
- แก้ไข Character , Paragraph ที่ Option bar
- ถ้าคลิ๊กผิดโปรแกรมจะสร้าง Layer ใหม่
แก้ไขทั่วไป
ต้องอยู่ที่ move tool (v)
- Free Transform "ctrl + T"
- Fill สี  "Alt + Del"
- Copy Layer "Alt + move Layer"
-----------------------------------------------------
Action
การบันทึกขั้นตอนการทำงาน เก็บไว้ใช้กับภาพอื่น
ทดลองใช้งาน
1. เมนู Window > Action
2. เลือกรายการ " Wood Frame 50px "
3. เปิดภาพขนาด 100 px ขึ้นไป
4. กดปุ่ม Play ที่หน้าต่าง Action
-------------------------------------------------------------
การสร้าง Action
1. ซ้อม step การทำงาน
2. เปิดภาพ
3. ที่หน้าต่าง Action
3.1 สร้าง New Set (กรณีแยกแฟ้มใหม่)
3.2 สร้าง New Action
- Name
- เลือก Set ที่จัดเก็บ
- กำหนด Key ลัด
- กดปุ่ม Record เริ่มบันทึกทันที
(ไม่พร้อม stop ได้)
4. เริ่มทำงาน (ตัวอย่างที่ทดลองทำ)
- Image Size
- Adjustment > Back&White
- Canvas Size เพิ่มขนาดภาพ (ขอบดำ)
5. ทำเสร็จแล้ว Stop ที่ Action
6. ทดลองใช้กับภาพอื่นๆ
-------------------------------------------------------
โหลด Action จากเน็ต
1. หาและโหลดใน google
2. ส่วนใหญ่จะได้แจกไฟล์ .zip ต้องแตกไฟล์เป็น .atn
3. ถ้าเจอไอคอนสีขาวแถมน้ำเงิน ก็ดับเบิ้ลคลิ๊กใช้ได้เลย
4. เลือกรายการใน Action แล้วใช้งาน
--------------------------------------------
3. การเรียนรู้ Illustrator
Interface
Hand , Zoom
New Doc
Selection tool
สร้าง Shape
แก้ไขสี Fill , Stroke





การพัฒนาศักยภาพข้าราชการบรรจุใหม่ของกรมบัญชีกลาง

ผู้เล่าเรื่อง  :   นางสาว สุจิตรา นภาคณาพร
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังปฏิบัติการ
หน่วยงาน :  สำนักมาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการ
หลักสูตรฝึกอบรม  :  การพัฒนาศักยภาพข้าราชการบรรจุใหม่ของกรมบัญชีกลาง
หน่วยงานผู้จัด  :  สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการคลังและบัญชีภาครัฐ (สพบ.)
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม 
1.เพื่อสร้างเสริมทัศนคติ จิตสำนึก และเห็นคุณค่าการนำความคิดและหลักการทางด้านคุณธรรม จริยธรรม ไปใช้ในการปฏิบัติงาน
2.เพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของข้าราชการให้ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงาน เพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ยืดประชาชนที่เป็นศูนย์กลาง มีทัศนคติที่ดีต่อการให้บริการ มีพฤติกรรมสอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการยุคใหม่
3.เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาท ภารกิจของกรมบัญชีกลางในภาพรวม โครงสร้างผู้บริหาร ประเด็นยุทธศาสตร์ ตลอดจนค่านิยมและวัฒนธรรมขององค์กร เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ
4.เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีเครือข่ายข้าราชการรุ่นใหม่ อันจะส่งผลให้สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้อย่างคล่องตัว


การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ : สิทธิประโยชน์และสวัสดิการของข้าราชการ
1. การลา
ประเภทการลา
การลาป่วย
- ข้าราชการลาป่วยโดยได้รับเงินเดือน ปีละไม่เกิน 60 วัน
- ผู้บังคับบัยชาระดับสำนัก/กอง อนุญาตให้ลาได้ไม่เกิน 60 วัน
- อธิบดีอนุญาตให้ลาได้ไม่เกิน 120 วัน
การลาคลอดบุตร
- ลาครั้งละไม่เกิน 90 วัน ไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์
- หากประสงค์จะลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงบุตรต่อให้ลาได้ไม่เกิน 150 วันทำการ
การลากิจส่วนตัว
- ลาได้ไม่เกินปีละ 45 วันทำการ
- ปีแรกที่เข้ารับราชการลาได้ไม่เกิน 15 วันทำการ
การลาเข้ารับการตรวจเลือก หรือเข้ารับการเตรียมพล
- การเข้ารับการตรวจเลือก       การเข้าการตรวจเลือดเพื่อการรับราชการ
      เป็นทหาร กองประจำการ
- การเข้ารับการเตรียมพล การเข้ารับการตรวจสอบเข้ารับการฝึกวิชาทหารหรือเข้ารับการทดลองความพรั่งพร้อม ตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร
- แนวทางปฏิบัติ
ข้าราชการที่ได้รับการตรวจเลือก ให้รายงานลาต่อผู้บังคับบัญชาก่อนวันเข้ารับการตรวจเลือกไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง
ข้าราชการที่ได้รับหมายเรียกเข้ารับการเตรียมพล ให้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาภายใน 48 ชั่วโมง นับแต่เวลารับหมายเรียก และรับเข้าการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพลตามวันเวลาในหมายเรียกนั้น โดยไม่ต้องรอรับคำสั่งอนุญาต
เมื่อพ้นจากการเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพลแล้ว ให้รายงานตัวกลับภายใน 7 วัน
กรณีจำเป็น ผู้บังคับบัญชาอาจขยายเวลาให้ได้ แต่รวมแล้วไม่เกิน 15 วัน
การลาไปศึกษา ฝึกอบรม ปฏิบัติการวิจัย หรือดูงาน
-    ลาได้ไม่เกิน 4 ปี
-    ผู้มีอำนาจอนุญาต อาจให้ลาได้มากกว่า 4 ปี แต่รวมแล้วไม่เกิน 6 ปี
-    ต้องกลับมารับราชการชดใช้เป็นเวลา ไม่น้อยกว่า 2 เท่าของเวลาที่ไป
- แนวทางปฏิบัติ
เสนอใบลาต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาอนุญาต
เมื่อได้รับอนุญาต ต้องทำสัญญากับส่วนราชการต้นสังกัด
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจการลา ให้รับรายงานตัวเข้าปฏิบัติราชการและรายงานผลของภารกิจต่อผู้บังคับบัญชา
การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ
  ประเภทที่ 1   ประเทศไทยเป็นสมาชิกในองค์การระหว่างประเทศ และมีวาระที่จะต้องส่งไปปฏิบัติงาน หรือส่งไปปฏิบัติงานเพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของประเทศ
  ประเภทที่ 2  การไปปฏิบัติงานนอกเหนือจากประเภทที่ 1
- เงื่อนไข
ประเภทที่ 1 ลาได้ไม่เกิน 4 ปี
ประเภทที่ 2 ลาได้ไม่เกิน 1 ปี ถ้าเกินต้องสั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการ
ไม่ได้รับเงินเดือนในระหว่างลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ ยกเว้นแต่เงินที่ได้รับจากองค์การฯ ต่ำกว่า เงินเดือนจากทางราชการ
การลาเฉพาะประเทที่ 2 ให้กลับมาปฏิบัติราชการเป็นระยะเวลา 1 เท่าของเวลาที่ลาไป หรือชดใช้เบี้ยปรับแก่ทางราชการ
- คุณสมบัติ
ปฏิบัติราชการมาแล้วเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี ก่อนถึงวันได้รับอนุญาต เว้นแต่ผู้ปฏิบัติงานใน UN กำหนดเวลาให้เป็น 2 ปี
สำหรับผู้ที่เคยไปปฏิบัติงานฯ ประเภทที่ 2 มาแล้ว ต้องมีเวลาปฏิบัติราชการไม่น้อยกว่า 2 ปี
สำหรับผู้ที่ไปปฏิบัติงานฯ ประเภทที่ 2 ต้องมีอายุไม่เกิน 52 ปีบริบูรณ์นับถึงวันได้รับอนุญาต
มีความรู้ ความสามารถ เหมาะสม ไม่อยู่ระหว่างถูกสอบสวนว่ากระทำผิดทางวินัย
การลาติดตามคู่สมรส
-    ลาได้ไม่เกิน 2 ปี
-    ผู้มีอำนาจอนุญาต อาจให้ลาได้อีก 2 ปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 4 ปี ถ้าเกินต้องลาออกจากราชการ
-    ไม่ได้รับเงินระหว่างลา
การลาไปช่วยภริยาคลอดบุตร
-    ต้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย
-    ลาได้ไม่เกิน 15 วันทำการ
การลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ
-    ข้าราชการได้รับอันตรายหรือเจ็บป่วยเพราะเหตุจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือถูกประทุษร้าย จนทำให้ตกเป็นผู้ทุพพลภาพหรือพิการ
-    อธิบดีมีอำนาจให้ลาได้ไม่เกิน 6 เดือน
-    ปลัดกระทรวงมีอำนาจให้ลาได้ไม่เกิน 12 เดือน
2. เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร
3. เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
4. เงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ
5. ค่าเข่าบ้าน
6. เครื่องราชอิสริยาภรณ์
7. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการชั่วคราว
- เบี้ยเลี้ยงเดินทาง
- ค่าเช่าที่พัก
- ค่าพาหนะ รวมถึงค่ายานพาหนะ ค่าเชื้อเพลิง ฯลฯ
- ค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็นต้องจ่ายเนื่องในการเดินทางไปราชการ
8. บำเหน็จบำนาญ

การสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้วยโปรแกรม Desktop Author


ผู้เล่าเรื่อง  :  นางนันทริดา เฉลิมไทย
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นิติกรชำนาญการ
หน่วยงาน :  สำนักความรับผิดทางแพ่ง
หลักสูตรฝึกอบรม  :  การสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้วยโปรแกรม Desktop Author
หน่วยงานผู้จัด  :  กระทรวงการคลัง
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม 
เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้เรียนรู้โปรแกรมสำหรับสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถนำมาเป็นสื่อการเรียน การสอน และการนำเสนอ ในรูปแบบของหนังสือแอนิเมชั่น ที่สามารถบันทึกเนื้อหารายละเอียด ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ข้อความตัวอักษร รูปภาพ วิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว แบบมัลติมีเดีย โดยรวบรวมคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำสื่อ ตั้งแต่การจัดหน้าเอกสาร การนำเข้ารูปภาพ ไฟล์เสียง วิดีโอ ตลอดจน องค์ประกอบต่างๆ ลงไปในอัลบั้มหนังสือ
การแบ่งปันความรู้ที่ได้รับ :
1. โปรแกรม Desktop Author เป็นโปรแกรมสร้างหนังสือแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ที่มีลักษณะคล้ายกับหนังสือจริง คือ มีหน้าปก สารบัญ ข้อความ รูปภาพ สามารถแทรกภาพเคลื่อนไหว ไฟล์วีดีโอ ไฟล์ Flash เพิ่มเสียงบรรยาย สร้างลิงค์ไปยังหน้าเว็บไซด์ต่าง ๆ ผลงานที่ได้มีขนาดไฟล์เล็ก ทำให้สามารถดาวน์โหลดผ่านเว็บ หรือ ส่งผ่านอีเมล์ และสามารถเผยแพร่ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้
2. ความสามารถของ Desktop Author คืออนุญาตให้ป้อนข้อความ หรือรูปภาพ รวมทั้งสื่อมัลติมีเดียต่าง ๆ ผลงานที่ได้เป็นทั้งสื่อ Offline ในรูปแบบไฟล์เป็น .exe สื่อออนไลน์ .html , .dnl ที่มีขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการนำเสนอผ่านเว็บ แต่การเรียกดูจำเป็นต้องติดตั้ง DNL Reader ก่อน จึงจะแสดงผลได้ และ Screen Saver (.scr) สำหรับการรักษาอายุจอภาพคอมพิวเตอร์ด้วยสื่อที่สามารถสร้างสรรค์เอง
3. คุณสมบัติของ Desktop Author
3.1 ผลงานมีขนาดเล็ก แสดงผลได้ทั้ง offline/online
3.2 มีลักษณะคล้ายกับหนังสือซึ่งเป็นรูปแบบที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย
3.3 ฟังก์ชั่น image popup ทำให้สามารถสร้างเนื้อหาโต้ตอบกับผู้ใช้
3.4 สามารถสั่งพิมพ์หน้าแต่ละหน้า หรือทั้งหมดของหนังสือได้
3.5 สามารถสร้างแบบทดสอบ และแบบสำรวจ ด้วย easy form ได้
3.6 เชื่อมโยงไปหาเว็บไซด์เพื่อดาวน์โหลด
3.7 ผู้ใช้สามารถส่งต่อได้ง่ายโดยการส่งผ่านอีเมล์ หรือระบบเครือข่าย
3.8 สามารถใช้ได้ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ PC และ Notebook
3.9 สามารถเผยแพร่ผ่านระบบเครือข่ายได้ง่ายและ Download ผ่านเว็บได้รวดเร็ว หรือสามารถส่งไฟล์ผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) ได้