วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

นักบริหารระดับต้น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผู้เล่าเรื่อง  :  นายวีระ   หนูบูรณ์
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  : นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วยงาน :  สำนักงานคลังจังหวัดนราธิวาส
หลักสูตรฝึกอบรม  :  นักบริหารระดับต้น
หน่วยงานผู้จัด  :  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

วัตถุประสงค์ของหลักสูตร / โครงการฝึกอบรม
1) เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะผู้บังคับบัญชาและมีความพร้อมที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างาน หรือนักบริหารระดับต้น
2) พัฒนาความรู้ และทักษะด้านการบริหารของการเป็นนักบริหาร หรือผู้กำลังจะเป็นนักบริหารให้มีความพร้อมสามารถปฏิบัติงานได้ตามบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบที่เปลี่ยนแปลง หรือกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3) เสริมสร้างความสามัคคี สามารถที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นในลักษณะที่เป็นทีมงานมีความสามารถในการคิดและทำงานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้งานบรรลุผลตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน
4) เสริมสร้างประสบการณ์ให้มีความสามารถปกครองบังคับบัญชาผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยหลักการบริหารที่เหมาะสมและมีทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติงาน ตลอดจนเป็นนักบริหารที่มีคุณธรรม

การที่จะเป็นนักบริหารที่ดีนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และต้องกล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นคุณสมบัติ 1 ใน 10 ข้อของนักบริหารที่ดี ซึ่งประกอบด้วย
1.ต้องรอบรู้
2.โปร่งใส
3.เป็นผู้นำ
4.เสียสละ อดทน
5.มีมนุษยสัมพันธ์
6.มีความเห็นใจผู้น้อย
7.เที่ยงธรรม
8.ทำงานร่วมกัน
9.รับผิดชอบ
10.กล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง
โดยนักบริหารจะต้องปฏิบัติงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลหรือการบริการกิจการบ้านเมืองที่ดี  (Good Governance) ซึ่งมีหลักสำคัญอยู่ 6 ประการ คือ
1.หลักนิติธรรม (Equity)
2.หลักคุณธรรม (Integrity)
3.หลักความโปร่งใส (Transparency)
4.หลักความมีส่วนร่วม (Participation)
5.หลักความรับผิดชอบ (Accountabillity)
6.หลักความคุ้มค่า (Efficiency)

ความหมายของคำว่า คอร์รัปชั่น
การคอร์รัปชั่น คือ การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อบิดเบือนนโยบาย หรือเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ เพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือพวกพ้อง  โดยแบ่งความหมายของ การคอร์รัปชั่น ได้ดังนี้
1.การคอร์รัปชั่นขนาดใหญ่ (Grand corruption) เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงเพื่อบิดเบือนนโยบายหรือใช้อำนาจรัฐในทางมิชอบ เพื่อให้ผู้นำหรือผู้บริหารประเทศได้รับผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรของชาติ
2.การคอร์รัปชั่นขนาดเล็ก (Petty corruption) เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับกลาง ระดับล่าง ต่อประชาชนทั่วไป โดยการใช้อำนาจที่ได้รับมอบหมายในทางมิชอบ
3.การติดสินบน (Bribery) เป็นการเสนอให้ สัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์ในรูปของเงิน สิ่งของ และสิ่งตอบแทนต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี
4.การยักยอก (Embezzlement) คือ นำเงินหรือสิ่งของที่ได้รับมอบหมายให้ใช้ในราชการ มาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือกิจกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง
5.การอุปถัมภ์ (Patronage) การเล่นพรรคเล่นพวก ด้วยการคัดเลือกบุคคลจากสายสัมพันธ์ทางการเมือง (connection) เพื่อเข้ามาทำงานหรือเพื่อให้รับประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติและความเหมาะสม
6.การเลือกที่รักมักที่ชัง (Nepotism) เป็นรูปแบบการเล่นพรรคเล่นพวก โดยจะใช้อำนาจที่มีในการให้ผลประโยชน์หรือให้เจ้าหน้าที่การงานแก่เพื่อน ครอบครัว หรือบุคคลใกล้ชิด โดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติและความเหมาะสม
7.ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of interest) คือการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม
รูปแบบของการคอร์รัปชั่น
1.การรับสินบน
2.การใช้อิทธิพลส่วนตัว
3.การใช้ข้อมูลลับ
4.การรับของขวัญ
5.การทำงานนอกเวลา
6.การทำงานหลังพ้นตำแหน่ง
7.การเกี่ยวพันทางเครือญาติ
การเกิดขึ้นของคอร์รัปชั่น
การเกิดขึ้นของคอร์รัปชั่นเกิดจากช่องว่างของอำนาจ กับ การตรวจสอบ กล่าวคือถ้าอำนาจมีมากกว่าการตรวจสอบก็จะส่งผลให้เกิดการคอร์รัปชั่นสูง ในทางกลับกัน หาก อำนาจมีน้อยกว่า การตรวจสอบ ก็จะส่งผลให้คอร์รัปชั่นน้อยลง เมื่อกล่าวถึงการคอร์รัปชั่นโดยใช้อำนาจนั้นเป็นการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ซึ่งมีการใช้อำนาจในทางที่ผิด กล่าวคือใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเชิงนโยบายหรือรัฐธรรมนูญ และกระทำการโดยมิได้มุ่งหวังประโยชน์สาธารณะแต่มุ่งหวังประโยชน์ส่วนบุคคลเป็นหลัก เป็นการกระทำเพื่อก่อให้เกิดการทำลายระบบการปกครอง ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
สาเหตุแห่งการทำผิดของข้าราชการ
สาเหตุแห่งการกระทำผิดของข้าราชการ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.เพราะไม่รู้
2.เพราะความจำเป็น
2.1 เพื่อประโยชน์ทางราชการ
2.2 เกรงกลัวอิทธิพลของผู้บังคับบัญชา
3.ทุจริต
การทุจริตต่อหน้าที่ คือ การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งนี้เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย
การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย คือ การกระทำความผิดทางกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตนเองหรือพวกพ้อง
การตรวจสอบ
การตรวจสอบอำนาจการบริหาร จำเป็นจะต้องตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอกและภายใน เช่น หน่วยงานภายนอก ยกตัวอย่างเช่น สภา พนักงานสอบสวน องค์กรอิสระ ภาคประชาชน  หน่วยงานภายใน ยกตัวอย่างเช่น ผู้บังคับบัญชา ผู้ตรวจสอบภายใน เป็นต้น
กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน
กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานด้านการคอร์รัปชั่นของ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ ดังนี้
1.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (เฉพาะมาตราที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต)
2.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ. 2554
3.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542
4.พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542
5.พระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543
มาตรการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 19 คระกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(11) เสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล หรือ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
(13) ดำเนินการเพื่อป้องกันการทุจริตและเสริมสร้างทัศนคติและค่านิยมเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต รวมทั้งดำเนินการให้ประชาชนหรือกลุ่มบุคคลมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
จากพระราชบัญญัติดังกล่าว ส่งผลให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีภารกิจดำเนินให้ประชาชนหรือกลุ่มบุคคลมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตรวมถึงการเสริมสร้างทัศนคติค่านิยมเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต เช่น การยกย่องผู้ประพฤติตนที่ชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต การเสริมสร้างค่านิยมในความซื่อสัตย์สุจริต รวมถึงการจัดเวที เสวนาเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ระหว่างคณะกรรมการ ป.ป.ช. กับสื่อมวลชน นักวิชาการ หรือกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ส่งเสริมให้ข้าราชการ มีจริยธรรมในการปฏิบัติงาน

การศึกษารายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมของภาครัฐและเอกชนในภาพรวมของประเทศ

ผู้เล่าเรื่อง  :  น.ส.เฉลิมรัตน์ เรืองวราคม
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วยงาน :  กลุ่มงานสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
ชื่อโครงการ / ประชุม / สัมมนา / หลักสูตร  :  การศึกษารายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมของภาครัฐและเอกชนในภาพรวมของประเทศ
หน่วยงานผู้จัด  :  คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วัตถุประสงค์ของโครงการ / ประชุม / สัมมนา / หลักสูตร
1) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์รายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมที่ดำเนินการโดยรัฐ องค์การเอกชน อาสาสมัคร เปรียบเทียบต่อ GDP โดยเปรียบเทียบในแต่ละปี
2) เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการกำหนดนโยบาย และวางแผนการจัดสรรงบประมาณด้านการจัดสวัสดิการสังคม ให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนโดยแท้จริง

ความรู้ที่แบ่งปันในเรื่อง : การศึกษารายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมของภาครัฐและเอกชนในภาพรวมของประเทศ
1. ความเป็นมา
เป็นการศึกษาในเบื้องต้นเกี่ยวกับรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมของภาครัฐและเอกชนในภาพรวมของประเทศ โดยพิจารณาถึงสภาพเศรษฐกิจและประชากรของประเทศ และสถานการณ์งบประมาณรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมของประเทศ ซึ่งรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมข้างต้นสามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
(1) สวัสดิการด้านการศึกษา
(2) สวัสดิการด้านสุขภาพ
(3) สวัสดิการเด็ก เด็กด้อยโอกาส และครอบครัว
(4) สวัสดิการคนพิการ
(5) สวัสดิการผู้สูงอายุ
(6) สวัสดิการที่อยู่อาศัย
(7) สวัสดิการประกันสังคม
(8) สวัสดิการด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน
(9) สวัสดิการขับเคลื่อนสวัสดิการสังคมผ่านกองทุนด้านสังคม 5 กองทุน ได้แก่ กองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม กองทุนคุ้มครองเด็ก กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กองทุนผู้สูงอายุ และกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
รวมทั้งประเมินผลการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายดังกล่าว ทั้งในภาพรวมระดับประเทศและระดับจังหวัด เพื่อพิจารณาว่าการจัดสรรงบประมาณมีความเหมาะสม ต่อเนื่อง ครอบคลุม และคุ้มค่า หรือไม่อย่างไร

2. วิธีการศึกษา
ผู้ศึกษาได้ดำเนินการวิจัยเรื่องดังกล่าวโดยใช้การสอบถามข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ (เทคนิคเดลฟาย) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญกรอกข้อมูลรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมของภาครัฐและเอกชนในภาพรวม รวมทั้งการประมาณการแนวโน้มรายจ่ายฯ ในระบบปัจจุบัน และระหว่างปี 2557 – 2560 พร้อมทั้งตั้งสมมติฐานประกอบการประมาณการค่าใช้จ่าย

3. ผลการศึกษา
ผลการประเมินผลการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมของภาครัฐและเอกชนในภาพรวมของประเทศ ในเบื้องต้นพบว่าแนวโน้มการจัดสรรงบประมาณไม่สอดคล้องกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เกิดการกระจุกตัวของงบประมาณอยู่ในภาคกลาง และการจัดสรรงบประมาณมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เด็ก ซึ่งขัดแย้งกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศ อีกทั้งการจัดสรรงบประมาณยังขาดความต่อเนื่องและยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร และเมื่อพิจารณารายละเอียดของรายจ่ายฯ แต่ละด้าน ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า
(1) สวัสดิการด้านการศึกษา ควรคงจำนวนรายจ่ายดังกล่าวไว้เท่าเดิมแต่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพ และควรปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรทางการศึกษา
(2) สวัสดิการด้านสุขภาพ เนื่องจากอัตราการใช้บริการเพิ่มขึ้นมากในกลุ่มผู้ป่วยเฉพาะโรค เช่น ไตวายเรื้อรัง เบาหวาน ความดัน หัวใจ และโรคมะเร็ง จึงต้องปรับเพิ่มงบประมาณรายจ่ายนี้ ซึ่งคาดว่าประมาณ 200,000 ล้านบาท ในปี 2560
(3) สวัสดิการเด็ก เด็กด้อยโอกาส และครอบครัว ไม่มีสมมติฐานแต่อย่างใด
(4) สวัสดิการคนพิการ ไม่มีสมมติฐานแต่อย่างใด
(5) สวัสดิการผู้สูงอายุ ไม่มีสมมติฐานแต่อย่างใด
(6) สวัสดิการที่อยู่อาศัย ไม่มีสมมติฐานแต่อย่างใด
(7) สวัสดิการประกันสังคม ควรปรับเพิ่มรายจ่ายเกี่ยวกับกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพและพิการ สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และกรณีว่างงาน และควรขยายรายจ่ายไปยังแรงงานที่อยู่นอกระบบด้วย
(8) สวัสดิการด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน ไม่มีสมมติฐานแต่อย่างใด
(9) สวัสดิการขับเคลื่อนสวัสดิการสังคมผ่านกองทุนด้านสังคม 5 กองทุน ไม่มีสมมติฐานแต่อย่างใด

4. ข้อเสนอแนะ
ผู้ศึกษามีข้อเสนอแนะต่อการปรับปรุง/พัฒนารายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมของภาครัฐและเอกชนในภาพรวม ดังนี้
(1) ควรมีการประเมินเกี่ยวกับประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า ของการลงทุนรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคม
(2) ควรสร้างเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของรายจ่าย โดยพิจารณาถึง
- ความยั่งยืนของโครงการ
- ความครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย
- ความสอดคล้องกับนโยบาย สภาวการณ์ทางสังคมในปัจจุบันและอนาคต
(3) ภาครัฐควรเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษา ด้านบริการสังคมทั้งงบบุคลากรและงบอุดหนุนต่างๆ
(4) ภาครัฐควรส่งเสริมระบบการสมทบงบประมาณการจัดสวัสดิการสังคม โดยเน้นให้ภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุนจัดบริการต่างๆ เพิ่มขึ้น